ทำความรู้จัก ‘ทฤษฎีแห่งความหวัง’ หรือ Hope Theory ที่ถึงพ่ายแพ้ แต่ชีวิตต้องก้าวต่อไป
-ก
ก
ก+
Light
Dark
ฟังบทความ
...
Summary
- ความอยุติธรรม, ความเหลื่อมล้ำ, การเล่นพรรคเล่นพวก ฯลฯ – ทุกคนในสังคมย่อมเคยเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ จนรู้สึกว่าชีวิตช่างยากเย็น ยิ่งหากตั้งความหวังแล้วผิดหวัง ก็ยิ่งเจ็บปวด และการพูดถึงความหวังในช่วงเวลาเช่นนี้ อาจทำให้หลายคนรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเพ้อฝันของพวกโลกสวย แต่หากเข้าใจทฤษฎีแห่งความหวัง หรือ Hope Theory เราจะสามารถหล่อเลี้ยงความหวังเพื่อสร้างพลังให้มีแรงสู้ต่อในโลกที่บิดเบี้ยวใบนี้ได้จริง
- เพราะทฤษฎีแห่งความหวัง กลับเชื่อว่า คนที่มีความหวังมักประสบความสำเร็จ และมีสุขภาพกายและใจที่ ‘ดีกว่า’ คนที่ปล่อยความหวังให้สูญสลายไปกับความทุกข์ ผ่านองค์ประกอบ 3 ประการ ที่ทำให้ความหวังเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต คือ เป้าหมาย (Goals) อันหมายถึง ชีวิตที่มีเป้าหมาย, กระบวนการ หรือเส้นทาง (Pathways) อย่างการหาเส้นทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น และความเชื่อมั่น (Agency) ที่เชื่อมั่นว่าเราทำได้ และแน่วแน่ในแนวทาง
- คำถามต่อมาก็คือ แล้วเราจะนำความหวังที่เป็นนามธรรมนี้ มาใช้ประโยชน์อย่างไรในสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง – นักจิตวิทยาแนะนำว่า การสร้างพลังแห่งความหวังให้คงอยู่ในสังคม เริ่มต้นได้ง่ายๆ ที่ตัวเรา ด้วยการสื่อสารเชิงบวก และเพิ่มความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งการสื่อสารเชิงบวกไม่ใช่เพียงการพูดในสิ่งที่เหมาะสมเท่านั้น แต่หมายถึงการฟังอย่างเปิดใจ ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจจนสามารถลดช่องว่างระหว่างกัน และพบหนทางที่จะช่วย ‘แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างได้’
- อย่างไรก็ตาม ความหวังมักมาคู่กับความอดทนและความยืดหยุ่นทางใจ เพราะเป้าหมายที่ผู้คนคาดหวังมักต้องใช้เวลา และระหว่างการเดินทางนั้นอาจเผชิญอุปสรรค ความยากลำบากต่างๆ ฉะนั้น หากความหวังเปรียบเสมือนแม่ทัพใหญ่ ความอดทนและความยืดหยุ่นก็เปรียบเสมือนสองนักรบมือฉกาจที่จะขาดเสียไม่ได้
...
Author
ภาวดี อภิบุญวัฒน์
อดีตนักเขียนในแวดวงแม่และเด็ก ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ ที่ชอบดูซีรีส์เกาหลี และเป็นคุณแม่ของลูกสาว Homeschool