Humberger Menu

นโยบายส่งคนกลับประเทศของทรัมป์ ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

ในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเกิดขึ้นมากมายที่สร้างแรงกระเพื่อมทั้งในประเทศและนอกประเทศ เพราะทรัมป์เดินหน้านโยบายเร่งด่วนที่เคยสัญญาไว้ในช่วงหาเสียงว่าจะทำให้ได้ภายใน 100 วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยหนึ่งในนโยบายที่ทรัมป์บอกว่าสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือการผลักดันผู้อพยพและผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนับล้านคนกลับประเทศต้นทาง

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

สิ่งที่ทรัมป์ลงมือตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำเนียบขาวคือการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order) ราวร้อยฉบับที่มีผลบังคับใช้และมีเป้าหมายแตกต่างกันไป ในจำนวนนั้นรวมถึงคำสั่งปิดพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ICE) เพิ่มเติมตามแนวชายแดน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบคัดกรองผู้อพยพในรัฐต่างๆ อย่างเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น 

ผลปรากฏว่าในเวลาเพียง 7 วันมีผู้อพยพและผู้อยู่ในสหรัฐฯ โดยไม่มีสถานะทางกฎหมายถูกจับและควบคุมตัวเฉลี่ยวันละมากกว่า 300 คน รวมเป็น 5,500 คนในวันที่ 29 มกราคม 2025 อ้างอิงการรายงานของสถานีข่าว ABC News4 ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงกว่าหลายรัฐบาลที่ผ่านมา สมกับที่ทรัมป์ประกาศว่านโยบายผลักดันผู้อพยพกลับประเทศในรัฐบาลชุดนี้จะเป็นปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ 

กลุ่มผู้มีแนวคิดชาตินิยมจำนวนมากสนับสนุนมาตรการต่อผู้อพยพของทรัมป์ แต่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจและองค์กรด้านกฎหมายต่างวิตกกังวลว่าการจัดการกับผู้อพยพอย่างรีบเร่งโดยใช้อำนาจประธานาธิบดีตัดทอนขั้นตอนทางกฎหมายอื่นๆ อาจทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือสิทธิมนุษยชน จึงมีผู้ทักท้วงให้ทรัมป์ทบทวนคำสั่งและชะลอมาตรการอันแข็งกร้าวแต่ขาดกลไกกำกับดูแลที่ชัดเจนนี้ออกไปก่อน

อย่างไรก็ดี คำเตือนจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญอาจไม่ต่างอะไรจากแรงยุให้ทรัมป์เร่งดำเนินนโยบายต่างๆ ที่เขาคิดจะผลักดันไปจนสุดทางยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเป็นการประเมินจากท่าทีของทรัมป์ช่วงที่เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกระหว่างปี 2017-2021 แต่สถานการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน และมีความเป็นไปได้เช่นกันว่าทรัมป์อาจปรับเปลี่ยนนโยบายในภายหลัง 

ประเทศไหนบ้างที่เป็นต้นทาง ‘ผู้อพยพ’ ในสหรัฐฯ

สถาบันวิจัย Pew Research สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับผู้อพยพที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายในสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดในปี 2022 ก่อนจะเผยแพร่รายงานสรุปเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 พบว่าตัวเลขรวมของผู้อพยพในสหรัฐฯ มีจำนวนประมาณ 11 ล้านคน ซึ่งถือว่าลดลงจาก 12.2 ล้านคนในการสำรวจข้อมูลเมื่อปี 2007 โดยที่ 8.3 ล้านคนของผู้อพยพกลุ่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของตลาดแรงงานอเมริกัน ขณะที่ประชากรสหรัฐฯ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 341 ล้านคน ขณะเดียวกัน Aljazeera ได้นำข้อมูลของ Pew Research มาแยกย่อยต่อเพื่อระบุประเทศต้นทางของผู้อพยพกลุ่มใหญ่สุดในสหรัฐฯ พบรายละเอียดดังนี้

เม็กซิโก

4 ล้านคน

เอลซัลวาดอร์

750,000 คน

อินเดีย

725,000 คน

กัวเตมาลา

675,000 คน

ฮอนดูรัส

525,000 คน

จีน

375,000 คน

บราซิล

230,000 คน

โคลอมเบีย

190,000 คน

ฟิลิปปินส์

130,000 คน

เมื่อทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารให้ยกระดับมาตรการผลักดันผู้อพยพที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายกลับไปยังประเทศต้นทาง จึงมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันจากหลายประเทศ 

ที่ชัดเจนสุดก็คือโคลอมเบีย ซึ่งรัฐบาลทรัมป์จับกุมชาวโคลอมเบียราว 200 คนที่อพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย และในจำนวนนี้รวมถึงผู้มีประวัติอาชญากรรม จากนั้นจึงทยอยนำตัวคนเหล่านี้ขึ้นเครื่องบินไปส่งถึงกรุงโบโกตาของโคลอมเบีย

ผู้อพยพโคลอมเบียเดินทางถึงกรุงโบโกตา

ปฏิกิริยาในตอนแรกของรัฐบาลโคลอมเบียคือการปฏิเสธไม่ให้เครื่องบินสหรัฐฯ เข้าประเทศ โดยให้เหตุผลว่าทางการสหรัฐฯ ปฏิบัติต่อกลุ่มผู้อพยพโดยไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้วิธีล่ามมือล่ามเท้าป้องกันการหลบหนี ทรัมป์จึงประกาศตอบโต้รัฐบาลโคลอมเบียด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากโคลอมเบีย 25 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงระงับการพิจารณามอบวีซ่าเข้าประเทศให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบีย ซึ่งประธานาธิบดี กุสตาโบ เปโตร ผู้นำโคลอมเบีย แถลงผ่านสื่อในประเทศว่ารัฐบาลของตัวเองจะพิจารณามาตรการทางภาษีและมาตรการอื่นๆ เพื่อตอบโต้ทรัมป์เช่นกัน 

หลุยส์ กิลแบร์โต มูริลโล รัฐมนตรีต่างประเทศโคลอมเบีย ร่วมการแถลงข่าว

แต่สุดท้ายแล้วกระทรวงการต่างประเทศของโคลอมเบียก็ออกแถลงการณ์ในวันที่ 28 มกราคม 2025 ชี้แจงว่าทางโคลอมเบียจะยอมรับผู้อพยพกลับประเทศเพื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของประชากรโคลอมเบีย ซึ่งสะท้อนว่าการปะทะทางวาจาระหว่างผู้นำสองประเทศได้นำไปสู่การต่อรองไกล่เกลี่ยในทางลับ จนได้บทสรุปที่ไม่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศน้อยที่สุด

คลอเดีย ไชน์เบาว์ม ประธานาธิบดีเม็กซิโก

ส่วนกรณีของเม็กซิโก มีคำแถลงจากประธานาธิบดี คลอเดีย ไชน์เบาว์ม แสดงท่าทีว่ารัฐบาลของเธอจะรับชาวเม็กซิกันซึ่งถูกส่งตัวกลับจากสหรัฐฯ แต่จะไม่รับตัวพลเมืองประเทศอื่นๆ เอาไว้ เนื่องจากผู้อพยพจากหลายประเทศในแถบลาตินอเมริกาใช้เม็กซิโกเป็นทางผ่านไปสหรัฐฯ ขณะที่กัวเตมาลา ฮอนดูรัส บราซิล รับตัวผู้อพยพที่ถูกสหรัฐฯ ส่งกลับโดยไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด 

ทางด้าน เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ก็แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่ารัฐบาลจีนจะรับตัวพลเมืองจีนที่มีภูมิลำเนาในแผ่นดินใหญ่เท่านั้น แต่จะไม่รับผู้อพยพเชื้อชาติจีนที่มีภูมิลำเนาในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน โดยโฆษกจีนไม่ได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ยอมรับผู้อพยพจากฮ่องกงและมาเก๊าที่เป็นเขตบริหารพิเศษของจีน และไม่เปิดเผยว่าจะดำเนินการอย่างไรกับผู้อพยพที่ถูกส่งกลับ ส่วนกรณีที่จีนไม่ยอมรับผู้อพยพไต้หวันนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะถึงแม้จีนจะอ้างว่าไต้หวันคือส่วนหนึ่งของจีน แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลไต้หวันชุดปัจจุบันยืนยันหลักอธิปไตยและอิสรภาพในการปกครองตนเองมาตลอด 

นเรนทรา โมดี และ โดนัลด์ ทรัมป์

ขณะเดียวกัน ท่าทีของอินเดียที่มีต่อเรื่องนี้เป็นไปอย่างประนีประนอม โดยกระทรวงกิจการภายในของอินเดียแถลงว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ต่อต้านการลักลอบเข้าเมืองทุกรูปแบบ เพราะขบวนการนี้มักเกี่ยวพันกับอาชญากรรมข้ามชาติ และนายกฯ โมดียังได้โทรศัพท์สายตรงเพื่อพูดคุยกับทรัมป์ในประเด็นนี้โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 27 มกราคม ก่อนจะมีรายงานว่าโมดีมีกำหนดเดินทางเยือนสหรัฐฯ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และจะหารือประเด็นความร่วมมืออื่นๆ นอกเหนือจากประเด็นผู้อพยพด้วย

ผู้อพยพคือส่วนหนึ่งของสังคมอเมริกัน

ข้อมูลของ Pew Research ระบุว่ารัฐในสหรัฐฯ ที่มีผู้อพยพซึ่งยังไม่มีสถานะทางกฎหมายพำนักอาศัยอยู่มากสุด 6 อันดับแรก ได้แก่

  • แคลิฟอร์เนีย 1.8 ล้านคน 
  • เท็กซัส 1.6 ล้านคน
  • ฟลอริดา 1.2 ล้านคน 
  • นิวยอร์ก 650,000 คน 
  • นิวเจอร์ซีย์ 475,000 คน 
  • อิลลินอยส์ 400,000 คน

ขณะที่ข้อมูลจากเว็บไซต์ Council on Foreign Relations ระบุว่าผู้อพยพที่มีสถานะทางกฎหมายในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายหรือผู้ได้รับการว่าจ้างงานอย่างต่อเนื่องจนมีคุณสมบัติครบถ้วนและได้รับมอบสัญชาติ มีจำนวนกว่า 48 ล้านคนจากการสำรวจครั้งล่าสุดในปี 2022 และประชากรกลุ่มนี้ก็มีส่วนร่วมอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งยังเสียภาษีแก่รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางรวมกว่า 579,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

แต่ประเด็นสำคัญคือ กลุ่มผู้อพยพที่มีสถานะถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐฯ มีความเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับผู้อพยพที่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมายอีกเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นสมาชิกครอบครัวก็เป็นผู้อาศัยอยู่ร่วมในครัวเรือนเดียวกัน ซึ่งผู้อพยพที่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมายนี้ก็มีส่วนร่วมในการจ่ายเงินสนับสนุนระบบสวัสดิการสังคมในสหรัฐฯ เช่นกัน ราว 254,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี การผลักดันผู้อพยพกลุ่มที่สองให้พ้นจากสหรัฐฯ จึงอาจส่งผลต่อรายได้จากการเก็บภาษีของทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง แต่เรื่องที่น่ากังวลกว่านั้นคือการหายไปของประชากรวัยทำงานที่เป็นกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งอันที่จริงก็เข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยมาได้สักพักใหญ่แล้ว

ขณะเดียวกันยังมีบทวิเคราะห์จาก CNN ซึ่งประเมินว่าหากกลุ่มผู้อพยพที่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมายหายไปจากสังคมอเมริกันจะทำให้สินค้าและค่าครองชีพต่างๆ มีราคาแพงขึ้น เพราะต้นทุนในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้นจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน และการบริโภคและอุปโภคก็จะหดตัวลงไปพร้อมกัน ซึ่งปัจจัยนี้จะส่งผลต่อเนื่องทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว และสถานการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในช่วงแรกของรัฐบาลทรัมป์ 1.0 ก่อนที่สหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ช่วงปี 2020-2021 ซึ่งทำให้ภาคส่วนต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมชะลอตัว

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลทรัมป์ 2.0 จึงได้ประกาศในเวลาต่อมาว่าผู้อพยพที่จะถูกผลักดันกลับประเทศคือผู้มีประวัติอาชญากรรมหรือเคยก่อคดีอาญาอื่นๆ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1.2 ล้านคน และทางรัฐบาลจะพิจารณาแนวทางอื่นๆ เพื่อเปิดทางให้ผู้อพยพที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายสามารถยื่นเรื่องขอพำนักในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย หรือเพื่อได้รับการพิจารณามอบสัญชาติอย่างเป็นทางการ 

อย่างไรก็ดี ยังมีข้อกังวลอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจและแรงงาน เพราะองค์กรด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ในสหรัฐฯ ชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ 1.0 เคยมีประวัติการเลือกปฏิบัติและไม่เคารพสิทธิผู้ลี้ภัยที่ยื่นเรื่องขอความคุ้มครองในสหรัฐฯ มาก่อน และการกลับมาครั้งนี้ของทรัมป์ก็ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับหลักมนุษยธรรมหรือกฎหมายสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

ทัศนคติรัฐบาลทรัมป์ 2.0 สะท้อนผ่าน ‘ภาษา’ ในเอกสารทางการ

ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงแรก มีการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกักตัวผู้อพยพที่ต้องการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ผ่านแนวชายแดนเม็กซิโก และนโยบายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในปี 2018 หลังจากเจ้าหน้าที่แยกตัวผู้อพยพที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ออกจากกัน ทำให้หลายครอบครัวถูกพรากลูกไปจากพ่อแม่และผู้ปกครอง เข้าข่ายละเมิดหลักการด้านสิทธิมนุษยชน

ผู้ชุมนุมต่อต้านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่พรากเด็กจากครอบครัว

ส่วนผู้อพยพบางรายเข้าข่ายผู้ลี้ภัยความขัดแย้งและความรุนแรงในประเทศตัวเอง ต้องการยื่นเรื่องขอสถานะผู้ลี้ภัยในสหรัฐฯ และถ้าอ้างอิงแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ต้องพิจารณาให้ความคุ้มครองโดยไม่ผลักดันคนกลุ่มนี้กลับประเทศต้นทางที่จากมา แต่ High Country News ซึ่งเป็นสื่อที่เปิดพื้นที่ให้กับชนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ รายงานว่า ผู้อพยพหลายรายที่ต้องการยื่นเรื่องลี้ภัยถูกปฏิบัติอย่างย่ำแย่จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ทั้งยังมีผู้เสียชีวิตในศูนย์กักกันประมาณ 24 ราย เพราะสภาพความเป็นอยู่แออัด ขาดแคลนยาและสาธารณูปโภคที่จำเป็น และเจ้าหน้าที่เพิกเฉยต่อคำร้องของผู้อพยพ

เมื่อรัฐบาลทรัมป์ 2.0 เริ่มปฏิบัติหน้าที่ สื่อสายเสรีนิยม Axios จึงชำแหละเนื้อหาในคำสั่งฝ่ายบริหารเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพที่ทรัมป์ลงนามในวันที่ 20 มกราคม 2025 โดยประเด็นหนึ่งซึ่งชัดเจนขึ้นกว่าสมัยรัฐบาลอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน คือ ทรัมป์อนุมัติเพิ่มกำลังพลและมอบอำนาจในกรณีฉุกเฉินให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในการสั่งจับกุมหรือควบคุมตัวผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยไม่จำเป็นต้องรอกระบวนการในชั้นศาล รวมถึงสั่งเพิ่มความเข้มงวดกวดขันในการตรวจสอบ คัดกรอง ส่งตัวผู้อพยพกลับประเทศต้นทาง และระงับสิทธิของผู้ยื่นเรื่องขอสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศในบางกรณี 

คำสั่งฝ่ายบริหารอยู่ในขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี แต่สิ่งที่สะท้อนว่ารัฐบาลทรัมป์ 2.0 มีท่าทีแข็งกร้าว เหมารวม และมองผู้อพยพเข้าเมืองทั้งหมดด้วยสายตาหวาดระแวง มาจากการใช้คำว่า ‘ต่างด้าว’ หรือ alien ในคำสั่งเหล่านี้แทนคำว่า ‘ผู้อพยพ’ (immigrant) หรือ ‘ผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนอเมริกัน’ (non-citizen) ซึ่งเคยใช้ในสมัยรัฐบาลไบเดน เพราะคำว่า alien ถูกวิจารณ์ว่ามีนัยแฝงแห่งการเหยียดเชื้อชาติและเลือกปฏิบัติ 

อย่างไรก็ดี ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์และผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยืนยันว่าการใช้คำว่า alien นั้นถูกต้องเหมาะสมดีแล้ว เพราะเป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้ในกฎหมายเกี่ยวกับสัญชาติและพลเมืองอเมริกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่ผู้เห็นต่างมองว่า alien เป็นคำที่ไม่สามารถสะท้อนความหลากหลายและซับซ้อนของกลุ่มผู้อพยพในสหรัฐฯ ได้อย่างครอบคลุมหรือชัดเจนพอ เพราะผู้อพยพในสหรัฐฯ ไม่ได้มีแค่ผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย แต่รวมถึงผู้ที่มีความเกี่ยวพันกับพลเมืองอเมริกันแต่ยังไม่ได้รับสถานะทางกฎหมาย ตลอดจนผู้ลี้ภัยที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศที่สหรัฐฯ ลงนามให้สัตยาบันเอาไว้ การเรียกคนเหล่านี้ว่า non-citizen จึงเหมาะสมกว่า

แม้เรื่องนี้จะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นถกเถียง แต่รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ยังยืนยันจะใช้คำว่า ‘ต่างด้าว’ กับผู้อพยพหรือผู้พำนักอาศัยในสหรัฐฯ โดยไม่มีสถานะทางกฎหมายต่อไป โดยทรัมป์ยังระบุผ่านคำปราศรัยอีกหลายครั้งว่าผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองคือ ‘อาชญากรผิดกฎหมายชาวต่างด้าว’ (criminal illegal aliens) เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งสมควรถูกกวาดล้างและส่งกลับประเทศต้นทาง

ผู้อพยพฮอนดูรัสเดินทางกลับถึงประเทศ

Axios เองก็วิจารณ์การใช้คำว่า alien เป็นภาพสะท้อนอคติของรัฐบาลทรัมป์ซึ่งเต็มไปด้วยผู้สนับสนุนแนวคิดชาตินิยมขวาจัด และการมองผู้อพยพแบบเหมารวมว่าคนเหล่านี้เป็นอาชญากรอาจจะนำไปสู่การใช้วิธีที่รุนแรงหรือไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการผลักดันผู้คนจำนวนมากกลับประเทศ และอาจมีคนอีกหลายกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายที่เต็มไปด้วยอคติเรื่องเชื้อชาตินี้

“ไม่ผิดจะกลัวอะไร?” ชนพื้นเมืองอเมริกันมีคำตอบ

แม้รัฐบาลทรัมป์จะยืนยันว่าการผลักดันผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นไปเพื่อคุ้มครองพลเมืองอเมริกันจากการรุกรานของคนต่างด้าว แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบอำนาจให้ตรวจสอบและจับกุมผู้อพยพปฏิบัติหน้าที่อย่างมีอคติและเลือกปฏิบัติต่อคนบางกลุ่มเท่านั้น และหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบก็คือชนพื้นเมืองอเมริกันที่มีรูปร่างหน้าตาภายนอกคล้ายคลึงกับผู้อพยพที่มาจากประเทศแถบลาตินอเมริกา

ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ICE) จับกุมผู้อพยพที่ไม่มีสถานะทางกฎหมาย

สำนักข่าว NPR, CBS News และ Yahoo! News รายงานตรงกันว่าในช่วงที่ผ่านมามีชนพื้นเมืองอเมริกันถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพุ่งเป้าตรวจสอบเอกสารระบุตัวตน แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันว่าเป็นพลเมืองอเมริกันด้วยการให้ดูบัตรประจำตัวหรือใบขับขี่หรือเอกสารอื่นๆ ที่ออกโดยรัฐบาลก็ยังถูกตั้งคำถามและถูกปฏิบัติด้วยท่าทีแข็งกร้าว จนมีผู้ร้องเรียนว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากการเลือกปฏิบัติจากนโยบายผู้อพยพของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่ออกคำสั่งกวาดล้างและจับกุม ‘อาชญากรต่างด้าว’ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

ผู้นำสภาชนเผ่านาวาโฮและกลุ่มผู้สืบเชื้อสายชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ ในสหรัฐฯ จึงได้ประกาศเตือนไปยังลูกหลานชนพื้นเมืองอเมริกันให้พกเอกสารยืนยันสถานะติดตัวไว้ตลอดเวลา หรือในกรณีที่เจอเหตุการณ์คล้ายกันนี้และต้องการขอความช่วยเหลือก็มีบริการสายด่วนให้โทรขอคำปรึกษาได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับชนพื้นเมืองอเมริกันเป็นภาพสะท้อนว่าพลเมืองอเมริกันเองก็ไม่ได้ปลอดภัยถ้วนหน้ากันภายใต้นโยบายยุคทรัมป์ 2.0 เพราะต่อให้ไม่ได้ทำอะไรผิดก็มีสิทธิ์ถูกเลือกปฏิบัติด้วยปัจจัยเรื่องรูปร่างหน้าตาและสีผิวอยู่ดี

นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่าชายชาวเปอร์โตริกันรายหนึ่งซึ่งทำงานให้กับร้านขายอาหารทะเลในนิวยอร์กถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำแม้ว่าเขาจะแสดงเอกสารยืนยันตัวตนชัดเจนแล้ว และสิ่งที่เป็นเหมือน ‘ตลกร้าย’ คือเปอร์โตริโกเป็นหนึ่งในดินแดนเครือรัฐของสหรัฐฯ และมีกฎหมายสหรัฐฯ ที่บังคับใช้ในปี 1917 ระบุว่าชาวเปอร์โตริกันคือพลเมืองสหรัฐฯ แต่ในทางกลับกันพนักงานของร้านที่ไม่ใช่คนอเมริกันแต่เป็นชาวยุโรปผิวขาวกลับไม่ถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนแต่อย่างใด 

พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่บางส่วนทำให้นโยบายนี้ของทรัมป์ถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติและการเหยียดเชื้อชาติแก่ประชากรกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนผิวขาว ซึ่งเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก 

ในปี 2019 มีชาวอเมริกันผิวดำหลายรายเสียชีวิตจากการใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหลายกรณีพิสูจน์ได้ในภายหลังว่าผู้เสียชีวิตไม่ได้มีอาวุธหรือแสดงท่าทีขัดขืนการจับกุมตามที่ตำรวจกล่าวอ้าง นำไปสู่การประท้วงใหญ่เพื่อต่อต้านการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รัฐ และนำไปสู่การเคลื่อนไหวของกลุ่ม Black Lives Matter เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนผิวดำ

ทรัมป์ ‘เล่นใหญ่’ ช่วง 100 วัน แต่ต่อไปอาจกลับลำ

การเดินหน้านโยบายหลายด้านตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานเป็นภาพที่ทำให้ทรัมป์ได้รับเสียงชื่นชมและความนิยมจากผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้น แต่นักวิเคราะห์ประเมินว่านโยบายบางอย่างของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 อาจชะงักงันต่อจากนี้ รวมถึงนโยบายกวาดล้างและผลักดันผู้อพยพครั้งใหญ่ที่อาจจะไปไม่ถึงฝัน

Financial Times ซึ่งเป็นสื่อวิเคราะห์การเมืองและเศรษฐกิจ รายงานว่าการผลักดันผู้อพยพนับล้านคนภายในระยะเวลา 4 ปีที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสอง เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะทำได้จริง เพราะงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายในกระบวนการกักตัว คัดกรอง และส่งตัวผู้อพยพกว่า 11 ล้านคนที่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมายกลับประเทศต้นทางอาจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งยังอาจต้องใช้เวลายาวนานนับทศวรรษกว่าจะเสร็จสิ้น

บทความของ Financial Times พาย้อนกลับไปดูนโยบายผู้อพยพของทรัมป์ช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ปี 2017 – 2021 พบว่าทรัมป์ประกาศจะจัดการกับผู้อพยพอย่างเด็ดขาดในช่วงแรกที่เข้ารับตำแหน่งเช่นกัน แต่จำนวนผู้อพยพที่ถูกส่งกลับมากที่สุดในสมัยทรัมป์ก็ยังน้อยกว่าสถิติผู้อพยพที่ถูกส่งกลับในรัฐบาลชุดถัดมาภายใต้การนำของโจ ไบเดน ซึ่งถูกทรัมป์วิจารณ์บ่อยๆ ว่า ‘อ่อนแอ’ และไม่เด็ดขาดกับผู้อพยพ

ข้อมูลที่อ้างอิงจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ระบุว่ารัฐบาลทรัมป์สมัยแรกส่งกลับผู้อพยพมากสุดในปี 2019 รวมทั้งหมด 267,000 คน ขณะที่รัฐบาลโจ ไบเดน ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2021-2025 ส่งผู้อพยพกลับประเทศต้นทางสูงสุด 271,484 คนในปี 2024 ทั้งยังเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย และถ้าประเมินตัวเลขผู้ที่ถูกส่งตัวกลับอย่างคร่าวๆ จะเห็นว่าในแต่ละปีรัฐบาลสหรัฐฯ มีศักยภาพในการผลักดันผู้อพยพกลับประเทศแค่ราวๆ 2-3 แสนคนเท่านั้น ถ้าจะส่งกลับผู้อพยพนับล้านอย่างที่ทรัมป์ว่าจึงน่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบปี

นอกจากนี้ Financial Times ยังรายงานด้วยว่าค่าใช้จ่ายที่จะงอกเงยจากการผลักดันผู้อพยพกลับคือการสร้างศูนย์กักตัวผู้อพยพเพิ่มเติมอีกราว 216 แห่ง เพื่อรองรับจำนวนคนหลายล้านที่ทรัมป์ตั้งใจจะส่งตัวกลับประเทศ เพราะกระบวนการคัดกรองและพิจารณาคนมหาศาลถึงขนาดนั้นต้องใช้เวลานานพอสมควร และผู้ที่สนับสนุนนโยบายนี้ของทรัมป์ก็คือบริษัทเรือนจำเอกชนสองรายใหญ่ในสหรัฐฯ ได้แก่ GEO Group และ CoreCivic ซึ่งประธานบริหารของบริษัทหลังได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่าบริษัทมีความพร้อมที่จะรับดำเนินการก่อสร้างศูนย์กักตัวผู้อพยพทันทีที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาล 

ส่วนตัวเลขที่คาดว่าจะเป็นงบประมาณในการก่อสร้างศูนย์กักกันอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านดอลลาร์ต่อหนึ่งอาคาร โดยจะสามารถรองรับผู้อพยพที่รอการคัดกรองได้ราวๆ 500 คน ทั้งยังต้องใช้งบประมาณในการดูแลซ่อมบำรุงอาคารและจ้างงานเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมอีกราวๆ 48 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างงานอีกช่องทางหนึ่งของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 แต่งบที่จะนำมาใช้จ่ายกับโครงการก่อสร้างศูนย์กักกันต้องโยกย้ายมาจากกระทรวงด้านความมั่นคงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงกลาโหม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ รวมถึงกระทรวงมหาดไทย ของสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะมีการจัดสรรแบ่งปันกันอย่างไรให้ลงตัว

ผู้อพยพชาติต่างๆ รวมตัวกันด้านนอกคณะกรรมาธิการความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยแห่งเม็กซิโก (COMAR)

ยิ่งถ้าย้อนกลับไปดูนโยบายที่เป็นเรือธงในการหาเสียงของรัฐบาลทรัมป์ 1.0 อย่างการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ กับเม็กซิโก จะเห็นได้ว่านี่เป็นโครงการที่ถูกปล่อยทิ้งไว้กลางทาง โดยสำนักข่าว BBC รายงานว่าตอนที่ทรัมป์พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2021 กำแพงกั้นชายแดนเพิ่งถูกสร้างไปได้ราว 767 กิโลเมตรจากเป้าหมายทั้งหมด 2,000 กิโลเมตร และงบประมาณที่ใช้ในการสร้างกำแพงก็ไม่สามารถรีดเค้นมาจากเม็กซิโกเหมือนที่ทรัมป์กล่าวอ้างตอนหาเสียงได้ แต่ต้องใช้วิธีโยกงบจากกระทรวงอื่นๆ ในประเทศมาโปะ จนกระทั่งสภาคองเกรสมีมติไม่ยอมรับคำร้องขอแบ่งสรรปันส่วนงบจากกระทรวงกลาโหมมาสร้างกำแพงต่อ โครงการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนจึงค้างคาอยู่อย่างนั้น

เมื่อรัฐบาลโจ ไบเดน เข้าปฏิบัติหน้าที่ก็สั่งระงับการก่อสร้างกำแพง ยกเว้นบางช่วงของโครงการที่หน่วยงานรัฐลงนามทำสัญญากับบริษัทผู้ได้รับสัมปทานไปแล้วตั้งแต่สมัยทรัมป์ดำรงตำแหน่ง แต่การก่อสร้างในยุคหลังก็ยังติดปัญหาเรื่องงบประมาณอีกเช่นเดิมเพราะไม่มีกระทรวงไหนอยากเจียดงบมาให้กับโครงการนี้ แม้แต่ทรัมป์ซึ่งหวนคืนมารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ในปีนี้ก็ไม่ได้พูดถึงการสร้างกำแพงกั้นชายแดนต่อ 

จึงไม่แปลกอะไรถ้านโยบายผลักดันผู้อพยพในยุคทรัมป์ 2.0 จะมีการตีฆ้องโหมโรงอย่างดังสนั่นในช่วงแรกก่อนจะแผ่วเสียงลงไปในภายหลัง เพราะต่อให้มีใจอยากดำเนินการต่อก็ยังต้องดูเงื่อนไขเรื่องงบประมาณ ซึ่งถึงที่สุดแล้วอาจจะเจอกับข้อจำกัดด้านการเงินอีกเช่นเคย

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ตติกานต์ เดชชพงศ