ในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเกิดขึ้นมากมายที่สร้างแรงกระเพื่อมทั้งในประเทศและนอกประเทศ เพราะทรัมป์เดินหน้านโยบายเร่งด่วนที่เคยสัญญาไว้ในช่วงหาเสียงว่าจะทำให้ได้ภายใน 100 วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยหนึ่งในนโยบายที่ทรัมป์บอกว่าสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือการผลักดันผู้อพยพและผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนับล้านคนกลับประเทศต้นทาง
สิ่งที่ทรัมป์ลงมือตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำเนียบขาวคือการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order) ราวร้อยฉบับที่มีผลบังคับใช้และมีเป้าหมายแตกต่างกันไป ในจำนวนนั้นรวมถึงคำสั่งปิดพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ICE) เพิ่มเติมตามแนวชายแดน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบคัดกรองผู้อพยพในรัฐต่างๆ อย่างเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น
ผลปรากฏว่าในเวลาเพียง 7 วันมีผู้อพยพและผู้อยู่ในสหรัฐฯ โดยไม่มีสถานะทางกฎหมายถูกจับและควบคุมตัวเฉลี่ยวันละมากกว่า 300 คน รวมเป็น 5,500 คนในวันที่ 29 มกราคม 2025 อ้างอิงการรายงานของสถานีข่าว ABC News4 ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงกว่าหลายรัฐบาลที่ผ่านมา สมกับที่ทรัมป์ประกาศว่านโยบายผลักดันผู้อพยพกลับประเทศในรัฐบาลชุดนี้จะเป็นปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ
กลุ่มผู้มีแนวคิดชาตินิยมจำนวนมากสนับสนุนมาตรการต่อผู้อพยพของทรัมป์ แต่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจและองค์กรด้านกฎหมายต่างวิตกกังวลว่าการจัดการกับผู้อพยพอย่างรีบเร่งโดยใช้อำนาจประธานาธิบดีตัดทอนขั้นตอนทางกฎหมายอื่นๆ อาจทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือสิทธิมนุษยชน จึงมีผู้ทักท้วงให้ทรัมป์ทบทวนคำสั่งและชะลอมาตรการอันแข็งกร้าวแต่ขาดกลไกกำกับดูแลที่ชัดเจนนี้ออกไปก่อน
อย่างไรก็ดี คำเตือนจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญอาจไม่ต่างอะไรจากแรงยุให้ทรัมป์เร่งดำเนินนโยบายต่างๆ ที่เขาคิดจะผลักดันไปจนสุดทางยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเป็นการประเมินจากท่าทีของทรัมป์ช่วงที่เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกระหว่างปี 2017-2021 แต่สถานการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน และมีความเป็นไปได้เช่นกันว่าทรัมป์อาจปรับเปลี่ยนนโยบายในภายหลัง
สถาบันวิจัย Pew Research สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับผู้อพยพที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายในสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดในปี 2022 ก่อนจะเผยแพร่รายงานสรุปเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 พบว่าตัวเลขรวมของผู้อพยพในสหรัฐฯ มีจำนวนประมาณ 11 ล้านคน ซึ่งถือว่าลดลงจาก 12.2 ล้านคนในการสำรวจข้อมูลเมื่อปี 2007 โดยที่ 8.3 ล้านคนของผู้อพยพกลุ่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของตลาดแรงงานอเมริกัน ขณะที่ประชากรสหรัฐฯ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 341 ล้านคน ขณะเดียวกัน Aljazeera ได้นำข้อมูลของ Pew Research มาแยกย่อยต่อเพื่อระบุประเทศต้นทางของผู้อพยพกลุ่มใหญ่สุดในสหรัฐฯ พบรายละเอียดดังนี้
4 ล้านคน
750,000 คน
725,000 คน
675,000 คน
525,000 คน
375,000 คน
230,000 คน
190,000 คน
130,000 คน
เมื่อทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารให้ยกระดับมาตรการผลักดันผู้อพยพที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายกลับไปยังประเทศต้นทาง จึงมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันจากหลายประเทศ
ที่ชัดเจนสุดก็คือโคลอมเบีย ซึ่งรัฐบาลทรัมป์จับกุมชาวโคลอมเบียราว 200 คนที่อพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย และในจำนวนนี้รวมถึงผู้มีประวัติอาชญากรรม จากนั้นจึงทยอยนำตัวคนเหล่านี้ขึ้นเครื่องบินไปส่งถึงกรุงโบโกตาของโคลอมเบีย
ปฏิกิริยาในตอนแรกของรัฐบาลโคลอมเบียคือการปฏิเสธไม่ให้เครื่องบินสหรัฐฯ เข้าประเทศ โดยให้เหตุผลว่าทางการสหรัฐฯ ปฏิบัติต่อกลุ่มผู้อพยพโดยไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้วิธีล่ามมือล่ามเท้าป้องกันการหลบหนี ทรัมป์จึงประกาศตอบโต้รัฐบาลโคลอมเบียด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากโคลอมเบีย 25 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงระงับการพิจารณามอบวีซ่าเข้าประเทศให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบีย ซึ่งประธานาธิบดี กุสตาโบ เปโตร ผู้นำโคลอมเบีย แถลงผ่านสื่อในประเทศว่ารัฐบาลของตัวเองจะพิจารณามาตรการทางภาษีและมาตรการอื่นๆ เพื่อตอบโต้ทรัมป์เช่นกัน
แต่สุดท้ายแล้วกระทรวงการต่างประเทศของโคลอมเบียก็ออกแถลงการณ์ในวันที่ 28 มกราคม 2025 ชี้แจงว่าทางโคลอมเบียจะยอมรับผู้อพยพกลับประเทศเพื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของประชากรโคลอมเบีย ซึ่งสะท้อนว่าการปะทะทางวาจาระหว่างผู้นำสองประเทศได้นำไปสู่การต่อรองไกล่เกลี่ยในทางลับ จนได้บทสรุปที่ไม่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศน้อยที่สุด
ส่วนกรณีของเม็กซิโก มีคำแถลงจากประธานาธิบดี คลอเดีย ไชน์เบาว์ม แสดงท่าทีว่ารัฐบาลของเธอจะรับชาวเม็กซิกันซึ่งถูกส่งตัวกลับจากสหรัฐฯ แต่จะไม่รับตัวพลเมืองประเทศอื่นๆ เอาไว้ เนื่องจากผู้อพยพจากหลายประเทศในแถบลาตินอเมริกาใช้เม็กซิโกเป็นทางผ่านไปสหรัฐฯ ขณะที่กัวเตมาลา ฮอนดูรัส บราซิล รับตัวผู้อพยพที่ถูกสหรัฐฯ ส่งกลับโดยไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
ทางด้าน เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ก็แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่ารัฐบาลจีนจะรับตัวพลเมืองจีนที่มีภูมิลำเนาในแผ่นดินใหญ่เท่านั้น แต่จะไม่รับผู้อพยพเชื้อชาติจีนที่มีภูมิลำเนาในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน โดยโฆษกจีนไม่ได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ยอมรับผู้อพยพจากฮ่องกงและมาเก๊าที่เป็นเขตบริหารพิเศษของจีน และไม่เปิดเผยว่าจะดำเนินการอย่างไรกับผู้อพยพที่ถูกส่งกลับ ส่วนกรณีที่จีนไม่ยอมรับผู้อพยพไต้หวันนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะถึงแม้จีนจะอ้างว่าไต้หวันคือส่วนหนึ่งของจีน แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลไต้หวันชุดปัจจุบันยืนยันหลักอธิปไตยและอิสรภาพในการปกครองตนเองมาตลอด
ขณะเดียวกัน ท่าทีของอินเดียที่มีต่อเรื่องนี้เป็นไปอย่างประนีประนอม โดยกระทรวงกิจการภายในของอินเดียแถลงว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ต่อต้านการลักลอบเข้าเมืองทุกรูปแบบ เพราะขบวนการนี้มักเกี่ยวพันกับอาชญากรรมข้ามชาติ และนายกฯ โมดียังได้โทรศัพท์สายตรงเพื่อพูดคุยกับทรัมป์ในประเด็นนี้โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 27 มกราคม ก่อนจะมีรายงานว่าโมดีมีกำหนดเดินทางเยือนสหรัฐฯ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และจะหารือประเด็นความร่วมมืออื่นๆ นอกเหนือจากประเด็นผู้อพยพด้วย
ข้อมูลของ Pew Research ระบุว่ารัฐในสหรัฐฯ ที่มีผู้อพยพซึ่งยังไม่มีสถานะทางกฎหมายพำนักอาศัยอยู่มากสุด 6 อันดับแรก ได้แก่
ขณะที่ข้อมูลจากเว็บไซต์ Council on Foreign Relations ระบุว่าผู้อพยพที่มีสถานะทางกฎหมายในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายหรือผู้ได้รับการว่าจ้างงานอย่างต่อเนื่องจนมีคุณสมบัติครบถ้วนและได้รับมอบสัญชาติ มีจำนวนกว่า 48 ล้านคนจากการสำรวจครั้งล่าสุดในปี 2022 และประชากรกลุ่มนี้ก็มีส่วนร่วมอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งยังเสียภาษีแก่รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางรวมกว่า 579,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
แต่ประเด็นสำคัญคือ กลุ่มผู้อพยพที่มีสถานะถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐฯ มีความเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับผู้อพยพที่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมายอีกเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นสมาชิกครอบครัวก็เป็นผู้อาศัยอยู่ร่วมในครัวเรือนเดียวกัน ซึ่งผู้อพยพที่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมายนี้ก็มีส่วนร่วมในการจ่ายเงินสนับสนุนระบบสวัสดิการสังคมในสหรัฐฯ เช่นกัน ราว 254,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี การผลักดันผู้อพยพกลุ่มที่สองให้พ้นจากสหรัฐฯ จึงอาจส่งผลต่อรายได้จากการเก็บภาษีของทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง แต่เรื่องที่น่ากังวลกว่านั้นคือการหายไปของประชากรวัยทำงานที่เป็นกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งอันที่จริงก็เข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยมาได้สักพักใหญ่แล้ว
ขณะเดียวกันยังมีบทวิเคราะห์จาก CNN ซึ่งประเมินว่าหากกลุ่มผู้อพยพที่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมายหายไปจากสังคมอเมริกันจะทำให้สินค้าและค่าครองชีพต่างๆ มีราคาแพงขึ้น เพราะต้นทุนในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้นจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน และการบริโภคและอุปโภคก็จะหดตัวลงไปพร้อมกัน ซึ่งปัจจัยนี้จะส่งผลต่อเนื่องทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว และสถานการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในช่วงแรกของรัฐบาลทรัมป์ 1.0 ก่อนที่สหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ช่วงปี 2020-2021 ซึ่งทำให้ภาคส่วนต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมชะลอตัว
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลทรัมป์ 2.0 จึงได้ประกาศในเวลาต่อมาว่าผู้อพยพที่จะถูกผลักดันกลับประเทศคือผู้มีประวัติอาชญากรรมหรือเคยก่อคดีอาญาอื่นๆ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1.2 ล้านคน และทางรัฐบาลจะพิจารณาแนวทางอื่นๆ เพื่อเปิดทางให้ผู้อพยพที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายสามารถยื่นเรื่องขอพำนักในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย หรือเพื่อได้รับการพิจารณามอบสัญชาติอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ดี ยังมีข้อกังวลอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจและแรงงาน เพราะองค์กรด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ในสหรัฐฯ ชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ 1.0 เคยมีประวัติการเลือกปฏิบัติและไม่เคารพสิทธิผู้ลี้ภัยที่ยื่นเรื่องขอความคุ้มครองในสหรัฐฯ มาก่อน และการกลับมาครั้งนี้ของทรัมป์ก็ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับหลักมนุษยธรรมหรือกฎหมายสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงแรก มีการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกักตัวผู้อพยพที่ต้องการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ผ่านแนวชายแดนเม็กซิโก และนโยบายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในปี 2018 หลังจากเจ้าหน้าที่แยกตัวผู้อพยพที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ออกจากกัน ทำให้หลายครอบครัวถูกพรากลูกไปจากพ่อแม่และผู้ปกครอง เข้าข่ายละเมิดหลักการด้านสิทธิมนุษยชน
ส่วนผู้อพยพบางรายเข้าข่ายผู้ลี้ภัยความขัดแย้งและความรุนแรงในประเทศตัวเอง ต้องการยื่นเรื่องขอสถานะผู้ลี้ภัยในสหรัฐฯ และถ้าอ้างอิงแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ต้องพิจารณาให้ความคุ้มครองโดยไม่ผลักดันคนกลุ่มนี้กลับประเทศต้นทางที่จากมา แต่ High Country News ซึ่งเป็นสื่อที่เปิดพื้นที่ให้กับชนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ รายงานว่า ผู้อพยพหลายรายที่ต้องการยื่นเรื่องลี้ภัยถูกปฏิบัติอย่างย่ำแย่จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ทั้งยังมีผู้เสียชีวิตในศูนย์กักกันประมาณ 24 ราย เพราะสภาพความเป็นอยู่แออัด ขาดแคลนยาและสาธารณูปโภคที่จำเป็น และเจ้าหน้าที่เพิกเฉยต่อคำร้องของผู้อพยพ
เมื่อรัฐบาลทรัมป์ 2.0 เริ่มปฏิบัติหน้าที่ สื่อสายเสรีนิยม Axios จึงชำแหละเนื้อหาในคำสั่งฝ่ายบริหารเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพที่ทรัมป์ลงนามในวันที่ 20 มกราคม 2025 โดยประเด็นหนึ่งซึ่งชัดเจนขึ้นกว่าสมัยรัฐบาลอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน คือ ทรัมป์อนุมัติเพิ่มกำลังพลและมอบอำนาจในกรณีฉุกเฉินให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในการสั่งจับกุมหรือควบคุมตัวผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยไม่จำเป็นต้องรอกระบวนการในชั้นศาล รวมถึงสั่งเพิ่มความเข้มงวดกวดขันในการตรวจสอบ คัดกรอง ส่งตัวผู้อพยพกลับประเทศต้นทาง และระงับสิทธิของผู้ยื่นเรื่องขอสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศในบางกรณี
คำสั่งฝ่ายบริหารอยู่ในขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี แต่สิ่งที่สะท้อนว่ารัฐบาลทรัมป์ 2.0 มีท่าทีแข็งกร้าว เหมารวม และมองผู้อพยพเข้าเมืองทั้งหมดด้วยสายตาหวาดระแวง มาจากการใช้คำว่า ‘ต่างด้าว’ หรือ alien ในคำสั่งเหล่านี้แทนคำว่า ‘ผู้อพยพ’ (immigrant) หรือ ‘ผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนอเมริกัน’ (non-citizen) ซึ่งเคยใช้ในสมัยรัฐบาลไบเดน เพราะคำว่า alien ถูกวิจารณ์ว่ามีนัยแฝงแห่งการเหยียดเชื้อชาติและเลือกปฏิบัติ
อย่างไรก็ดี ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์และผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยืนยันว่าการใช้คำว่า alien นั้นถูกต้องเหมาะสมดีแล้ว เพราะเป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้ในกฎหมายเกี่ยวกับสัญชาติและพลเมืองอเมริกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่ผู้เห็นต่างมองว่า alien เป็นคำที่ไม่สามารถสะท้อนความหลากหลายและซับซ้อนของกลุ่มผู้อพยพในสหรัฐฯ ได้อย่างครอบคลุมหรือชัดเจนพอ เพราะผู้อพยพในสหรัฐฯ ไม่ได้มีแค่ผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย แต่รวมถึงผู้ที่มีความเกี่ยวพันกับพลเมืองอเมริกันแต่ยังไม่ได้รับสถานะทางกฎหมาย ตลอดจนผู้ลี้ภัยที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศที่สหรัฐฯ ลงนามให้สัตยาบันเอาไว้ การเรียกคนเหล่านี้ว่า non-citizen จึงเหมาะสมกว่า
แม้เรื่องนี้จะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นถกเถียง แต่รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ยังยืนยันจะใช้คำว่า ‘ต่างด้าว’ กับผู้อพยพหรือผู้พำนักอาศัยในสหรัฐฯ โดยไม่มีสถานะทางกฎหมายต่อไป โดยทรัมป์ยังระบุผ่านคำปราศรัยอีกหลายครั้งว่าผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองคือ ‘อาชญากรผิดกฎหมายชาวต่างด้าว’ (criminal illegal aliens) เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งสมควรถูกกวาดล้างและส่งกลับประเทศต้นทาง
Axios เองก็วิจารณ์การใช้คำว่า alien เป็นภาพสะท้อนอคติของรัฐบาลทรัมป์ซึ่งเต็มไปด้วยผู้สนับสนุนแนวคิดชาตินิยมขวาจัด และการมองผู้อพยพแบบเหมารวมว่าคนเหล่านี้เป็นอาชญากรอาจจะนำไปสู่การใช้วิธีที่รุนแรงหรือไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการผลักดันผู้คนจำนวนมากกลับประเทศ และอาจมีคนอีกหลายกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายที่เต็มไปด้วยอคติเรื่องเชื้อชาตินี้
แม้รัฐบาลทรัมป์จะยืนยันว่าการผลักดันผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นไปเพื่อคุ้มครองพลเมืองอเมริกันจากการรุกรานของคนต่างด้าว แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบอำนาจให้ตรวจสอบและจับกุมผู้อพยพปฏิบัติหน้าที่อย่างมีอคติและเลือกปฏิบัติต่อคนบางกลุ่มเท่านั้น และหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบก็คือชนพื้นเมืองอเมริกันที่มีรูปร่างหน้าตาภายนอกคล้ายคลึงกับผู้อพยพที่มาจากประเทศแถบลาตินอเมริกา
สำนักข่าว NPR, CBS News และ Yahoo! News รายงานตรงกันว่าในช่วงที่ผ่านมามีชนพื้นเมืองอเมริกันถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพุ่งเป้าตรวจสอบเอกสารระบุตัวตน แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันว่าเป็นพลเมืองอเมริกันด้วยการให้ดูบัตรประจำตัวหรือใบขับขี่หรือเอกสารอื่นๆ ที่ออกโดยรัฐบาลก็ยังถูกตั้งคำถามและถูกปฏิบัติด้วยท่าทีแข็งกร้าว จนมีผู้ร้องเรียนว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากการเลือกปฏิบัติจากนโยบายผู้อพยพของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่ออกคำสั่งกวาดล้างและจับกุม ‘อาชญากรต่างด้าว’ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
ผู้นำสภาชนเผ่านาวาโฮและกลุ่มผู้สืบเชื้อสายชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ ในสหรัฐฯ จึงได้ประกาศเตือนไปยังลูกหลานชนพื้นเมืองอเมริกันให้พกเอกสารยืนยันสถานะติดตัวไว้ตลอดเวลา หรือในกรณีที่เจอเหตุการณ์คล้ายกันนี้และต้องการขอความช่วยเหลือก็มีบริการสายด่วนให้โทรขอคำปรึกษาได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับชนพื้นเมืองอเมริกันเป็นภาพสะท้อนว่าพลเมืองอเมริกันเองก็ไม่ได้ปลอดภัยถ้วนหน้ากันภายใต้นโยบายยุคทรัมป์ 2.0 เพราะต่อให้ไม่ได้ทำอะไรผิดก็มีสิทธิ์ถูกเลือกปฏิบัติด้วยปัจจัยเรื่องรูปร่างหน้าตาและสีผิวอยู่ดี
นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่าชายชาวเปอร์โตริกันรายหนึ่งซึ่งทำงานให้กับร้านขายอาหารทะเลในนิวยอร์กถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำแม้ว่าเขาจะแสดงเอกสารยืนยันตัวตนชัดเจนแล้ว และสิ่งที่เป็นเหมือน ‘ตลกร้าย’ คือเปอร์โตริโกเป็นหนึ่งในดินแดนเครือรัฐของสหรัฐฯ และมีกฎหมายสหรัฐฯ ที่บังคับใช้ในปี 1917 ระบุว่าชาวเปอร์โตริกันคือพลเมืองสหรัฐฯ แต่ในทางกลับกันพนักงานของร้านที่ไม่ใช่คนอเมริกันแต่เป็นชาวยุโรปผิวขาวกลับไม่ถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนแต่อย่างใด
พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่บางส่วนทำให้นโยบายนี้ของทรัมป์ถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติและการเหยียดเชื้อชาติแก่ประชากรกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนผิวขาว ซึ่งเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
ในปี 2019 มีชาวอเมริกันผิวดำหลายรายเสียชีวิตจากการใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหลายกรณีพิสูจน์ได้ในภายหลังว่าผู้เสียชีวิตไม่ได้มีอาวุธหรือแสดงท่าทีขัดขืนการจับกุมตามที่ตำรวจกล่าวอ้าง นำไปสู่การประท้วงใหญ่เพื่อต่อต้านการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รัฐ และนำไปสู่การเคลื่อนไหวของกลุ่ม Black Lives Matter เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนผิวดำ
การเดินหน้านโยบายหลายด้านตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานเป็นภาพที่ทำให้ทรัมป์ได้รับเสียงชื่นชมและความนิยมจากผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้น แต่นักวิเคราะห์ประเมินว่านโยบายบางอย่างของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 อาจชะงักงันต่อจากนี้ รวมถึงนโยบายกวาดล้างและผลักดันผู้อพยพครั้งใหญ่ที่อาจจะไปไม่ถึงฝัน
Financial Times ซึ่งเป็นสื่อวิเคราะห์การเมืองและเศรษฐกิจ รายงานว่าการผลักดันผู้อพยพนับล้านคนภายในระยะเวลา 4 ปีที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสอง เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะทำได้จริง เพราะงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายในกระบวนการกักตัว คัดกรอง และส่งตัวผู้อพยพกว่า 11 ล้านคนที่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมายกลับประเทศต้นทางอาจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งยังอาจต้องใช้เวลายาวนานนับทศวรรษกว่าจะเสร็จสิ้น
บทความของ Financial Times พาย้อนกลับไปดูนโยบายผู้อพยพของทรัมป์ช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ปี 2017 – 2021 พบว่าทรัมป์ประกาศจะจัดการกับผู้อพยพอย่างเด็ดขาดในช่วงแรกที่เข้ารับตำแหน่งเช่นกัน แต่จำนวนผู้อพยพที่ถูกส่งกลับมากที่สุดในสมัยทรัมป์ก็ยังน้อยกว่าสถิติผู้อพยพที่ถูกส่งกลับในรัฐบาลชุดถัดมาภายใต้การนำของโจ ไบเดน ซึ่งถูกทรัมป์วิจารณ์บ่อยๆ ว่า ‘อ่อนแอ’ และไม่เด็ดขาดกับผู้อพยพ
ข้อมูลที่อ้างอิงจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ระบุว่ารัฐบาลทรัมป์สมัยแรกส่งกลับผู้อพยพมากสุดในปี 2019 รวมทั้งหมด 267,000 คน ขณะที่รัฐบาลโจ ไบเดน ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2021-2025 ส่งผู้อพยพกลับประเทศต้นทางสูงสุด 271,484 คนในปี 2024 ทั้งยังเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย และถ้าประเมินตัวเลขผู้ที่ถูกส่งตัวกลับอย่างคร่าวๆ จะเห็นว่าในแต่ละปีรัฐบาลสหรัฐฯ มีศักยภาพในการผลักดันผู้อพยพกลับประเทศแค่ราวๆ 2-3 แสนคนเท่านั้น ถ้าจะส่งกลับผู้อพยพนับล้านอย่างที่ทรัมป์ว่าจึงน่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
นอกจากนี้ Financial Times ยังรายงานด้วยว่าค่าใช้จ่ายที่จะงอกเงยจากการผลักดันผู้อพยพกลับคือการสร้างศูนย์กักตัวผู้อพยพเพิ่มเติมอีกราว 216 แห่ง เพื่อรองรับจำนวนคนหลายล้านที่ทรัมป์ตั้งใจจะส่งตัวกลับประเทศ เพราะกระบวนการคัดกรองและพิจารณาคนมหาศาลถึงขนาดนั้นต้องใช้เวลานานพอสมควร และผู้ที่สนับสนุนนโยบายนี้ของทรัมป์ก็คือบริษัทเรือนจำเอกชนสองรายใหญ่ในสหรัฐฯ ได้แก่ GEO Group และ CoreCivic ซึ่งประธานบริหารของบริษัทหลังได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่าบริษัทมีความพร้อมที่จะรับดำเนินการก่อสร้างศูนย์กักตัวผู้อพยพทันทีที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาล
ส่วนตัวเลขที่คาดว่าจะเป็นงบประมาณในการก่อสร้างศูนย์กักกันอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านดอลลาร์ต่อหนึ่งอาคาร โดยจะสามารถรองรับผู้อพยพที่รอการคัดกรองได้ราวๆ 500 คน ทั้งยังต้องใช้งบประมาณในการดูแลซ่อมบำรุงอาคารและจ้างงานเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมอีกราวๆ 48 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างงานอีกช่องทางหนึ่งของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 แต่งบที่จะนำมาใช้จ่ายกับโครงการก่อสร้างศูนย์กักกันต้องโยกย้ายมาจากกระทรวงด้านความมั่นคงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงกลาโหม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ รวมถึงกระทรวงมหาดไทย ของสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะมีการจัดสรรแบ่งปันกันอย่างไรให้ลงตัว
ยิ่งถ้าย้อนกลับไปดูนโยบายที่เป็นเรือธงในการหาเสียงของรัฐบาลทรัมป์ 1.0 อย่างการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ กับเม็กซิโก จะเห็นได้ว่านี่เป็นโครงการที่ถูกปล่อยทิ้งไว้กลางทาง โดยสำนักข่าว BBC รายงานว่าตอนที่ทรัมป์พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2021 กำแพงกั้นชายแดนเพิ่งถูกสร้างไปได้ราว 767 กิโลเมตรจากเป้าหมายทั้งหมด 2,000 กิโลเมตร และงบประมาณที่ใช้ในการสร้างกำแพงก็ไม่สามารถรีดเค้นมาจากเม็กซิโกเหมือนที่ทรัมป์กล่าวอ้างตอนหาเสียงได้ แต่ต้องใช้วิธีโยกงบจากกระทรวงอื่นๆ ในประเทศมาโปะ จนกระทั่งสภาคองเกรสมีมติไม่ยอมรับคำร้องขอแบ่งสรรปันส่วนงบจากกระทรวงกลาโหมมาสร้างกำแพงต่อ โครงการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนจึงค้างคาอยู่อย่างนั้น
เมื่อรัฐบาลโจ ไบเดน เข้าปฏิบัติหน้าที่ก็สั่งระงับการก่อสร้างกำแพง ยกเว้นบางช่วงของโครงการที่หน่วยงานรัฐลงนามทำสัญญากับบริษัทผู้ได้รับสัมปทานไปแล้วตั้งแต่สมัยทรัมป์ดำรงตำแหน่ง แต่การก่อสร้างในยุคหลังก็ยังติดปัญหาเรื่องงบประมาณอีกเช่นเดิมเพราะไม่มีกระทรวงไหนอยากเจียดงบมาให้กับโครงการนี้ แม้แต่ทรัมป์ซึ่งหวนคืนมารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ในปีนี้ก็ไม่ได้พูดถึงการสร้างกำแพงกั้นชายแดนต่อ
จึงไม่แปลกอะไรถ้านโยบายผลักดันผู้อพยพในยุคทรัมป์ 2.0 จะมีการตีฆ้องโหมโรงอย่างดังสนั่นในช่วงแรกก่อนจะแผ่วเสียงลงไปในภายหลัง เพราะต่อให้มีใจอยากดำเนินการต่อก็ยังต้องดูเงื่อนไขเรื่องงบประมาณ ซึ่งถึงที่สุดแล้วอาจจะเจอกับข้อจำกัดด้านการเงินอีกเช่นเคย
อ้างอิง:
ABC News4, Aljazeera, American Immigration Council, AXIOS, Barrons, BBC, CBC News, CFR, CNN, The Conversation, High Country News, Financial Times, Gallup Poll, The Guardian, MSNBC, The New Yorker, NBC News, Newsweek, NPR, Pew Research, Reuters (1), Reuters (2), SCBEIC, Trump White House, White House, Yahoo! News