Humberger Menu

สำรวจทำเลบ้านเพื่อคนไทย บางซื่อ กม.11

เสียงจากคนในชุมชนที่อาจต้องย้ายออกไป

ก่อนบ้านเพื่อ ‘คนไทย’ จะมาเข้ามาแทน

ภาพ:จิตติมา หลักบุญ

โครงการบ้านคนไทยถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งใจทำเพื่อให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตนเองในราคาที่เข้าถึงจับต้องได้ โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดูแลและคาดว่าจะรีบดำเนินการโครงการตั้งแต่ปี 2568 

ภายหลังจากการเปิดตัวโครงการบ้านเพื่อคนไทยเมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา เพียงไม่กี่วันก็มีประชาชนสนใจเข้าลงทะเบียนจับจองบ้านเป็นจำนวนมาก 

ทำเลยอดฮิตที่คนอยากได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ พื้นที่บางซื่อ กม.11 วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ มีผู้ลงทะเบียนมากถึง 156,857 ราย หรือคิดเป็นประมาณ 69 เปอร์เซ็นต์จากผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 226,499 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มกราคม 2568 เวลา 17.30 น.) และยังเปิดให้จองจนถึงวันที่ 31 มกราคมนี้ ซึ่งคาดว่าอาจมีตัวเลขผู้ลงทะเบียนมากกว่านี้

หนึ่งในสาเหตุที่พื้นที่บางซื่อ กม.11 เป็นที่นิยมขนาดนี้ เพราะเป็นพื้นที่ในละแวกสถานีรถไฟฟ้ากรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) สถานีพหลโยธิน ห้างสรรพสินค้า และอยู่หลังสำนักงานใหญ่ ปตท. โดยโครงการนี้คาดว่าจะเป็นพื้นที่แรกที่เริ่มสร้างเป็นคอนโดมิเนียมขนาด 8 ชั้น ประกอบด้วย ห้องพัก 30 – 51 ตารางเมตร หลังจากนั้นจะขยายโครงการเป็น 45 ชั้นเพื่อให้คุ้มค่าต่อการพัฒนาโครงการ 

เชื่อว่าหลายคนอาจเคยขับหรือนั่งรถผ่านสำนักงานใหญ่ ปตท.กันอยู่บ้าง แต่พื้นที่บางซื่อ กม.11 กลับเป็นพื้นที่ที่บางคนอาจไม่เคยผ่านไปเห็นหรือเข้าไปดูทำเลในทุกซอกทุกมุมขนาดนั้น เพราะด้วยข้อจำกัดในการเดินทางและต้องเข้าซอยแคบ 

ไทยรัฐพลัสจึงลงพื้นที่สำรวจทำเลบ้านเพื่อคนไทยพื้นที่บางซื่อ กม.11 เพื่อบอกเล่าถึงข้อดีและข้อเสียของทำเลนี้ รวมถึงชวนฟังเสียงจากคนในชุมชนที่จะได้รับผลกระทบและอาจต้องย้ายออกจากบ้านของพวกเขาเพื่อสร้าง ‘บ้านเพื่อคนไทย’ แทน

พื้นที่บางซื่อ กม.11 มีอะไรบ้าง?

เมื่อเราเดินทางตามหมุดใน Google Map ที่ปักไว้ในเว็บไซต์บ้านเพื่อคนไทย ไปถึงพื้นที่บางซื่อ กม.11 ตรงซอยวิภาวดี 11 แยก 1 บริเวณนี้มีทั้งบ้านและร้านค้ารายรอบเต็มทั้ง 2 ข้างทาง เรียกว่าอุดมไปด้วยร้านอาหาร ร้านขายของชำ ร้านกาแฟ และยังใกล้กับตลาดนัด กม.11 ที่จะมีของมาขายเกือบทุกวัน 

แต่ถนนซอยนี้ก็ถือว่าคับแคบ มีถนนพอที่รถยนต์จะสวนกันได้อยู่ 2 เลน และไม่มีฟุตปาธสำหรับคนเดิน หากอนาคตมีการสร้างคอนโดตรงนี้ก็อาจต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ใหม่ด้วย เช่น ถนนและฟุตปาธ นอกจากนี้พื้นที่นี้ยังเป็นทางผ่านของเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองทำให้มีเสียงเครื่องบินรบกวนตลอดทั้งวัน การออกแบบอาคารอาจต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วย เช่น การสร้างห้องที่ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ 

สิ่งที่เรารู้อย่างหนึ่งคือโครงการบางซื่อ กม.11 จะมีคอนโด 2 ตึก ซึ่งจะมีตึกเล็ก 8 ชั้น และตึกใหญ่แนวยาว โดยทั้ง 2 ตึกจะตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ซึ่งในพื้นที่บางซื่อ กม.11 มีตำแหน่งที่เป็นพื้นที่ลานจอดรถเก่าไม่ใช้แล้วของการรถไฟฯ คาดว่าพื้นที่นี้น่าจะเป็นตึกเล็ก 8 ชั้นที่จะสร้างก่อนเป็นที่แรก

พื้นที่จอดรถร้างที่คาดว่าจะสร้างเป็นคอนโดโครงการบ้านเพื่อคนไทย 8 ชั้น

พื้นที่ฝั่งที่คาดว่าจะสร้างเป็นบ้านเพื่อคนไทยตึกใหญ่

ในขณะที่ตึกใหญ่แนวยาวที่จะอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อเราลองเดินดูกลับพบว่าพื้นที่ตรงนั้นมีบ้านคนอยู่หลายหลัง พร้อมกับสังเกตเห็นบ้านหลังหนึ่งที่มีรถเข็นเด็ก 2 ที่นั่งวางอยู่หน้าบ้าน


เราเข้าไปพูดคุยกับ ‘ลุงแป๊ด’ ชายวัย 75 ปีที่กำลังทำความสะอาดอุปกรณ์ขายของในตลาดนัด ขณะที่แฟนของลุงแป๊ดกำลังดูแลหลานแฝดวัย 3 เดือนที่กำลังนอนหลับปุ๋ย 

“แถวนี้ไม่มีฟุตปาธมาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่แล้ว”

คำพูดของลุงแป๊ดที่อยู่บ้านหลังนี้มาประมาณ 22 ปี ตั้งแต่ยังไม่มีตึก ปตท. 

ลุงแป๊ดเล่าต่อว่า พื้นที่นี้เคยเป็นที่ดินว่างเปล่าที่เป็นป่าที่เขาเรียกกันว่า ‘ป่ากระถิน’ คนที่อยู่แถวนี้ก็มาบุกเบิกและก็เอาปูนมาเทพื้นตรงนี้ ซึ่งคนที่อาศัยอยู่แถวนี้ส่วนใหญ่ก็มีอาชีพค้าขาย 

“แถวนี้คนอยู่เยอะนะ มีคนอยู่เส้นนี้ยาวไปถึงริมคลองด้านหลัง น่าจะมีอยู่เป็นร้อยๆ ครอบครัวตรงนี้เรียกว่าชุมชนป่ากระถิน และมีอีก 2 ชุมชนคือชุมชนพัฒนา กม.11 และชุมชนริมคลอง กม.11” 

“ตอนนั้นทางรัฐบาลเก่า (สมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกฯ) อนุญาตให้ชุมชนตรงนี้อยู่ไปได้ก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้อยู่ไปเลย เราจึงยังมีสิทธิอยู่ที่นี่ ถ้ามีโครงการบ้านเพื่อคนไทยมาสร้างใหม่ก็อาจจะให้รื้อถอน แต่เราก็ยังไปไม่ได้ เพราะเราไม่มีที่ไปเราจะไปได้อย่างไร”

“เรื่องการสร้างคอนโดตรงพื้นที่บริเวณนี้ทางหน่วยงานรัฐยังไม่ได้มาคุย เพิ่งรู้หลังจากมีข่าว แต่เมื่อก่อนทางการรถไฟเคยมีคนมารังวัดที่แถวนี้และบอกว่าจะทำถนน 4 เลน แต่จะเป็นคำพูดลวงหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเอาพื้นที่นี้มาสร้างโครงการของบริษัทลูกการรถไฟฯ ที่จะออกแบบเป็น Smart City เพื่อบูรณะพื้นที่ตรงนี้มากกว่า”

ลุงแป๊ดบอกว่าตอนนี้กำลังทำเรื่องเพื่อเช่าที่การรถไฟฯ อยู่แถวแยกบางซ่อนตรงทางรถไฟเพื่อย้ายไปอาศัยอยู่ตรงนั้นแทน แต่ก็ยังติดเรื่องเสาโทรเลขที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่จะเช่า 

“ถ้าหากว่าเราจะเช่าพื้นที่นั้น ทางการรถไฟฯ ให้เรารื้อถอนเสาโทรเลขออกเอง โดยเราต้องว่าจ้างคนมารื้อถอนประมาณ 4 ล้านกว่าบาท เพราะมีเสาโทรเลขประมาณ 10 กว่าต้น ตอนนี้เราก็ไม่มีงบเลยคิดว่าจะตื้ออยู่ตรงนี้ไปก่อน”

“จริงๆ เราก็อยากไปจากที่นี่เหมือนกัน ในเมื่อเขาจะสร้างความเจริญเข้ามา เราก็โอเคและยินดีที่จะไป แต่เราก็อยากจะได้พื้นที่ที่เราจะย้ายไปแน่นอนก่อน” 

“ถ้าต้องย้ายจริงๆ ก็ต้องใช้เวลาประมาณสัก 1 เดือนก็คงจะเรียบร้อยหมด เพราะเราต้องขนย้ายกันเอง เราคงไม่มีเงินไปจ้างคนมาช่วยขนของ กว่าจะได้บ้านใหม่ก็อาจจะเป็นปี เพราะพื้นที่นี้มีอยู่ถึง 3 ชุมชน รวมถึงชาวชุมชนบางซื่อที่มาร่วมกับเราด้วยรวมกันเกือบ 200 หลังคาเรือน”

ลุงแป๊ดเล่าว่าหากมีที่ดินแน่นอนแล้วทางการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ก็จะสร้างบ้านมั่นคงให้ แต่การพูดคุยกับกระทรวงคมนาคมเรื่องงบในการย้ายเสาโทรเลขก่อนให้เช่าที่ดินตอนนี้ยังตกลงกันไม่ได้ 

"ผมไม่ได้ลงทะเบียนบ้านเพื่อคนไทย ผมไม่เอาโครงการนี้ เพราะต้องผ่อนเดือนละ 4,000 บาท มีค่าส่วนกลาง ค่าแม่บ้าน ค่าลิฟต์ ค่ารปภ. อีกเท่าไหร่ กู้เงินก็ยาก ผมเคยกู้กับธนาคารของรัฐยังไม่ผ่านเลย"

“หากเรายังไม่มีที่อยู่ เราก็ไม่ไปจากที่นี่ เราก็คนไทย จะสร้างอะไรผมไม่สนใจ โครงการนี้เขาไม่ได้ช่วยเหลือคนจน พ่อค้าแม่ค้าแถวนี้จะอยู่ในตึกแฟลตหรือคอนโดได้เหรอ สมมติพ่อค้าแม่ค้าอยู่ชั้นที่ 30 แล้วเขาต้องทำของขายกว่าจะขนของลงจากตึกไปขายอีก”

ลุงแป๊ดบอกว่าปัจจุบันมีรายได้จากอาชีพค้าขายประมาณ 10,000 กว่าบาทต่อเดือน เป็นรายได้ที่พออยู่พอกินเท่านั้น จากนั้นแฟนลุงแป๊ดพูดเสริมขึ้นมาว่า “เราต้องเลี้ยงหลานอีก ลงทะเบียนไปแล้วยังไม่ได้เงินอุดหนุนเลย” 

เป็นอีกประเด็นที่สะท้อนถึงความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่และโครงการบ้านเพื่อคนไทยที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชุมชนดั้งเดิม ทำให้เราเห็นความเหลื่อมล้ำของบ้านเพื่อ ‘คนไทย’ อย่างชัดเจน เพราะตามจุดประสงค์ของโครงการบ้านเพื่อคนไทยต้องการให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตนเองในราคาที่เข้าถึงจับต้องได้ แต่กลับไม่ใช่คนไทยทุกคนที่สามารถเข้าถึงบ้านเหล่านั้นได้จริง

พื้นที่บางซื่อ กม.11 ใกล้รถไฟฟ้าจริงไหม?

“ตรงนี้กันดารนะ”

พี่นิด จากร้านขายของชำเล่าถึงพื้นที่บางซื่อ กม.11 ให้เราฟังขณะชงโกโก้เย็นที่เราเพิ่งสั่งไป 

พี่นิดเล่าว่าเธออาศัยอยู่กับครอบครัวที่นี่มากว่า 30 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาคุยเรื่องการสร้างคอนโดตรงนี้ แต่ถ้าตรงนี้ถูกนำไปสร้างคอนโดโครงการบ้านเพื่อคนไทยก็อาจย้ายออกไปทั้งถนนเส้นนี้หมด 

พี่นิดบอกว่าเธอไม่ได้ลงทะเบียนคอนโดในโครงการบ้านเพื่อคนไทยเพราะคิดว่าคงผ่อนไม่ไหวและอาจต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแทน

“ตึกแถวนี้เป็นบ้านพักของคนทำงานการรถไฟฯ ทุกห้องมีคนของการรถไฟฯ กับครอบครัวพักอยู่ แต่ถ้าพื้นที่ตรงนี้หายไป ตอนนี้ก็ยังไม่รู้จะอยู่ที่ไหน”

เมื่อเราถามต่อไปว่าที่นี่ใกล้รถไฟฟ้าจริงไหม พี่นิดหัวเราะก่อนตอบกลับมาว่า “มันไกลมาก ใครจะไปเดิน ฟุตปาธก็ไม่มี” 


เมื่อเราลองเปิด Google Map เพื่อยืนยันระยะทางความไกลที่ว่า ก็พบว่าหากจะเดินไปสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดอย่าง รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีพหลโยธิน หรือรถไฟฟ้าสายสีแดงสถานีจตุจักรต้องเดินเป็นระยะทางกว่า 1.5 กิโลเมตร 

ส่วนสถานีกลางบางซื่อคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินเพราะมีระยะทางไกลกว่า 5.5 กิโลเมตร (นั่งแท็กซี่โดยรถไม่ติดราคาประมาณ 70 บาท) ผู้อยู่อาศัยบ้านเพื่อคนไทยบางซื่อ กม.11 อาจต้องเดินทางหลายต่อหรือต้องพึ่งพาการนั่งวินมอเตอร์ไซค์ในการเดินทางเป็นหลัก ซึ่งราคาจากวินหน้าปากซอย มีราคาเริ่มต้น 10 บาท แต่หากจะไปสถานีรถไฟฟ้าหมอชิตจะอยู่ในราคา 50 บาท 

ส่วนการเดินทางด้วยรถเมล์ก็อาจต้องเดินทางหลายต่อเช่นกัน เพราะในซอยนี้ยังไม่มีรถเมล์เข้าถึงทำให้ต้องเดินไปขึ้นรถเมล์ยังปากซอยประมาณ 500 เมตรขึ้นไปกว่าจะไปถึงป้ายรถเมล์ที่ขับผ่านเข้าไปยังตัวเมือง

แม้ทำเลบางซื่อ กม.11 จะสะดวกในระดับหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนอาจต้องใช้รถส่วนตัวเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางมากขึ้น หรือหากในอนาคตจะแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้โครงการบ้านเพื่อคนไทยอาจต้องมีบริการรถขนส่งหรือ Feeder โดยเฉพาะของโครงการเอง เพื่อลดปัญหารถติดและลดค่าใช้จ่ายการเดินทางของผู้อยู่อาศัย

เมื่อประเมินระยะเวลาศึกษา ออกแบบ และจัดการพื้นที่ คาดว่าอาจต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะสร้างได้ เช่น การเตรียมพร้อมที่อยู่อาศัยแทนให้ชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดิมและการจัดการพื้นที่ให้พร้อมอยู่อาศัย 

แต่จากข้อมูลที่ประกาศในวันที่ 17 มกราคม ในเว็บไซต์ของศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center: GCC) คาดว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จะเริ่มก่อสร้างโครงการนำร่องและจะประกาศผลผู้ที่ได้รับสิทธิในการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนมีนาคม 2568 และจะเริ่มโอนโครงการนำร่อง 154 หน่วย เดือนธันวาคม 2568 และจะโอนโครงการนำร่องอีก 4,256 หน่วย เดือนมิถุนายน 2569

ด้วยระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 2 ปีที่ดูรวดเร็วมากนี้ อาจต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในอนาคตหรือไม่ รวมถึงการดูแลประชาชนที่อาศัยอยู่เดิมในพื้นที่จะมีแนวทางการจัดการที่ชัดเจนและช่วยเหลืออย่างไร นี่อาจเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลแพทองธารต้องเร่งแก้ไปพร้อมกับนโยบายบ้านเพื่อคนไทยนี้

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย