“เมื่อวันที่ท้องฟ้าและทะเลเป็นสีแดง ระวังจะเกิดภัย หากน้ำแห้งทั้งทะเล ห้ามไปจับปลา เพราะจะเกิดคลื่นยักษ์ที่จะมาเอาชีวิตพวกเรา”
นี่คือเรื่องเล่าในตำนาน ‘คลื่นยักษ์ 7 ชั้น’ ของชาวมอแกลนที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านทับตะวัน ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เราได้ฟังเรื่องนี้จากพี่หญิง-อรวรรณ หาญทะเล ลูกหลานของชาวมอแกลนที่อยู่ในพื้นที่วันเกิดเหตุสึนามิปี 2547
พี่หญิงเล่าว่าเช้าวันนั้นเธอไปเรียน กศน.ในเมือง ส่วนน้องชายและหลานสาวของเธอไปทำงานที่หน้าหาดบางสัก ซึ่งเป็นร้านอาหาร
“ประมาณ 9 โมงกว่าเกือบ 10 โมง คุณครูบอกเราว่ามีคนบอกว่าที่หาดบางสักเกิดคลื่นยักษ์ ตอนนั้นเราคิดว่าเป็นเรื่องตลกและไม่เชื่อ แต่โทรกลับไปที่บ้านปรากฏว่าโทรศัพท์ใช้ไม่ได้”
“พอผ่านไปสัก 2-3 ชั่วโมง คนออกมาจากบริเวณบ้านน้ำเค็มเพื่อออกมาจากตะกั่วป่า เราจะเห็นคนจากน้ำเค็มและตะกั่วป่าวิ่งออกมาแบบไม่มีเสื้อผ้า เพราะเสื้อติดไปกับโคลนด้วย บางคนมีเลือดอาบ พอมาถึงบ้านทับตะวัน เราเห็นน้ำทะเลอ่ะค่ะ ซัดฝรั่ง ซัดรถ มีคนตายนอนเกลื่อนกลาด เราจึงเร่ิมเชื่อว่ามีคลื่นยักษ์มาจริง”
“ตอนนั้นภาวนาว่าคนที่บ้านเราจะเชื่อคำพูดของบรรพบุรุษ ซึ่งบ้านทำร้านอาหารที่อยู่ติดทะเล แต่ตอนนั้นเจ้าของร้านอาหารไม่ได้เป็นชาวเล เขาไม่เชื่อคำพูดนี้ แม่ครัวเล่าว่าตอนนั้นเจ้าของร้านยังชวนน้องของเราและหลานอีก 3 คน ไปจับปลาในทะเลและน้องชายของเราก็ไปด้วย ถ้าเราอยู่ด้วยในวันนั้นคงพาเขาออกมา เรารู้สึกผิดว่าถ้าวันนั้นเราไม่ไปโรงเรียน ทุกคนอาจจะไม่ตายเพราะเจ้าของร้านรักเรามากและเชื่อคำพูดของเรา”
พี่หญิงบอกว่าภายหลังจากเกิดสึนามิ ชาวมอแกลนถูกปล้นและโดนทำร้าย ข้าวของในบ้านหายไปหมดแม้กระทั่งกระเบื้องปูพื้นก็หายไป รวมถึงที่ดินที่พวกเขาอาศัยอยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษที่อาศัยกันมาหลายร้อยปี แต่มีช่วงหนึ่งที่พื้นที่นี้ได้สัมปทานเหมืองแร่ทำให้มีนายทุนเข้ามาในพื้นที่นี้ พวกเขาจึงต้องย้ายออกไป ซึ่งก็อยู่ในละแวกเดิม แต่หลังเลิกสัมปทานไปเราก็จะกลับมาอยู่ที่เดิม
หลังจากสึนามินายทุนบอกว่ามีเอกสารสิทธิเป็น นส.3ก (เอกสารที่แสดงสิทธิการครอบครอง เพื่อทำประโยชน์ในพื้นที่ดินนั้น ๆ ได้) ส่วนของเราไม่มีเอกสารสิทธิ มีเพียงหลักฐานที่ชัดคือการประมาณโดยวัดจากช่วงอายุคน ต้นมะพร้าว ต้นมะม่วงและสุสานยืนยันได้ว่าชาวมอแกลนอยู่กันมา 170 ปี
“ในยุคที่เกิดสึนามิใหม่ๆ รัฐที่เป็นทหารตำรวจเข้ามา แต่มาปกป้องที่ดินให้กับนายทุน เอากระบอกปืนซัดคางชาวบ้าน แล้วบอกว่าชาวบ้านว่าอย่าพูดบ้าๆ อย่าพูดมั่วๆ ที่ดินตรงนี้เป็นของนายทุน ซึ่งเราและเยาวชนเห็นสภาพนั้นก็ไม่ไหว เราก็ขึ้นมาเก็บข้อมูล แล้วก็ถาม NGO ถามอาจารย์ ถามใครก็ได้ เพื่อถามว่าเราจะทำอย่างไรให้พื้นที่ดินตรงนี้กลายเป็นพื้นที่ของชาวบ้านให้ได้”
หลังจากการต่อสู้เพื่อทวงคืนพื้นที่นี้มายาวนานตั้งแต่สึนามิเกือบหลายสิบปี พี่หญิงบอกว่า เดิมพื้นที่ของชาวมอแกลนมีถึง 24 ไร่ แต่ปัจจุบันเหลือ 19 ไร่ หายไปจากเดิม 5 ไร่
“เราอยู่มาก่อนสัมปทาน แต่หลังยกเลิกเราก็กลับมา แต่เขากลับมาทวงพื้นที่นี่หลังสึนามิ” พี่หญิงกล่าว
“ชีวิตไม่สิ้น ที่ดินไม่หาย ถ้าชีวิตหาย ตายกับที่ดิน โฉนดคือสินค้า ปากกาเที่ยวหากิน ที่ดินที่ทำกินของมอแกลน” คือคำกลอนของยายลาภ ชาวมอแกลนวัย 63 ปีที่เสียที่ดินให้กับเอกชนไป ซึ่งในช่วงหนึ่งเกิดล่าลายเซ็นชาวบ้านเพื่อต้องการโฉนดที่ดินตรงนี้
ยายลาภ ชาวมอแกลนวัย 63 ปี
หลังจากการพูดคุยในหมู่บ้านทับตะวันที่มีบ้านทรงคล้ายๆ กันเรียงรายเต็มไปหมด เป็นบ้านสไตล์ชาวมอแกลนสร้างด้วยไม้และมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ ตัวบ้านยกสูงและมีใต้ถุนเตี้ย ซึ่งบ้านเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นใหม่หลังจากสึนามิเกือบทั้งหมด
เราเดินสำรวจในบริเวณบ้านของชาวมอแกลน ที่เรียกว่าถูกออกแบบได้เหมาะกับพื้นที่ใกล้ทะเล ซึ่งบ้านเหล่านี้ถูกสร้างตามแบบบรรพบุรษชาวมอแกลนมาอย่างเนิ่นนาน
“ความจริงแล้วภูมิปัญญาของชาวเลมีหลายอย่าง แต่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ พอเกิดคลื่นสึนามิทำให้พวก
เราเชื่อว่าคำบอกเล่าหรือคำสั่งสอนหรือภูมิปัญญาหลายอย่างที่บรรพบุรุษเราได้ให้ไว้ คือเรื่องที่เขาปฏิบัติกันมาอย่างลึกซึ้ง” พี่หญิงเล่าให้เราฟังด้วยความภาคภูมิใจ
ภูมิปัญญาเหล่านี้อาจเป็นวิธีป้องกันภัยอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ชาวมอแกลนหลายคนรอดชีวิตจากเหตุสึนามิครั้งนั้น
แม้เราจะรับรู้สถานการณ์สึนามิในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ผ่านข่าวที่รายงานจากสื่อเท่านั้น แต่นี่ถือเป็นเหตุการณ์ความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศไทย เมื่อ 20 ปีก่อนและทำให้คลื่นยักษ์ที่ชื่อ ‘สึนามิ’ กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ภัยพิบัติรุนแรงครั้งนั้นส่งผลให้หลากหลายภาคส่วนหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยพิบัติมากขึ้น แต่ปัจจุบันหลังจากผ่านมา 20 ปี เราอาจไม่ทันสังเกตว่าการจัดการภัยพิบัติของไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างหลังจากสึนามิครั้งนั้น
นี่เป็นคำถามที่เราสงสัยและพยายามหาคำตอบจากผู้รอดชีวิตจากคลื่นยักษ์สึนามิในวันนั้นที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงและพยายามให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยพิบัติอย่างจริงจังตลอดที่ผ่านมา
ในช่วงก่อนการจัดงานรำลึกครบรอบเหตุการณ์สึนามิ 20 ปี เราเดินทางไปพร้อมกับสื่อมวลชนอีกหลายสำนักเพื่อพูดคุยกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ
เราสัมผัสได้ถึงความเศร้าของพวกเขา เมื่อต้องย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น บางคนต้องสูญเสียคนในครอบครัว คนรัก บ้าน และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาไปกับคลื่นยักษ์ที่มาโดยที่พวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัว และอีกหลายคนที่ยังคงมี ‘ความกลัว’ หลงเหลือจากเหตุการณ์ครั้งนั้นอยู่แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม
เรามีโอกาสได้คุยกับพี่วิชิต อดีตเจ้าอาวาส (วัย 25 ปีในตอนนั้น) ที่วัดย่านยาว(นิกรวราราม) ถึงเหตุการณ์หลังจากเกิดสึนามิ
พี่วิชิตเล่าว่าตอนนั้นมีศพเยอะที่มารวมอยู่ที่พื้นที่วัด หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแล พิสูจน์ศพและให้ทางวัดนำศพไปทำพิธี
“เรื่องสึนามิทำให้หลายคนเกิดความกลัว ตอนที่ผมเป็นเจ้าอาวาสจะมีชาวบ้านมาพูดคุยและขอคำปรึกษาอยู่เรื่อยๆ หลายคนทำใจไม่ได้เพราะคนในครอบครัวเสียชีวิตและถูกพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไป”
“ตอนนั้นเราเป็นพระก็เทศน์สอนตามหลักธรรมะ ตัวเราเองก็รู้สึกว่าเราต้องเข้มแข็ง วันหนึ่งเราพูดซ้ำอยู่หลายครั้งว่าต้องทำใจ เราต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่อให้ตัวเองเข้มแข็ง สึนามิถือเป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้และยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ”
“สึนามิที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนบทเรียนให้เราตั้งรับและตื่นตัวตลอดเวลา อย่าประมาท ถ้าเราพร้อมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ น้ำท่วมมาเราก็พร้อมและไปต่อได้ สิ่งสำคัญคือเราอย่าอ่อนแอและอย่าหวั่นไหวกับปัญหาที่เกิดขึ้น” พี่วิชิตทิ้งท้าย
‘บทเรียน’ สำคัญจากเหตุการณ์สึนามิ ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องแก้คือ ‘ความไม่รู้’ ของผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งอันตรายมากที่สุดเมื่อเกิดเหตุ
ก่อนเหตุการณ์เมื่อปี 2547 หลายคนไม่รู้จัก ‘สึนามิ’ และไม่เคยรับรู้ถึงภัยอันตรายร้ายแรงขนาดนี้มาก่อนจนได้เผชิญกับมันจริงๆ รวมถึงปัญหาของการแจ้งเตือนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอในตอนนั้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายที่มากจนเกินไป
ผู้คนในพื้นที่และองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศจึงพยายามลุกขึ้นมา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ปัจจุบันในพังงามีหลายพื้นที่ที่ได้รับโดนสึนามิถล่มมีการฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติจนเราอาจไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ยังมีร่องรอยของผลกระทบที่เกิดจากสึนามิ
เราได้ยินมาว่ามีร้านอาหารแห่งหนึ่งริมชายหาดที่เคยถูกสึนามิถล่ม แต่ก็กลับมาทำร้านอาหารในพื้นที่เดิม นั่นทำให้เราเกิดสนใจร้านอาหารนี้ขึ้นมา
เราเดินทางไปที่ ‘ชายหาดเขาหลัก’ แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของชาวต่างชาติ ที่นั่นมีบาร์แห่งหนึ่งชื่อว่า Memories Beach Bar ซึ่งในอดีตเคยเป็นร้านอาหารมาก่อนแต่ถูกคลื่นสึนามิพัดถล่มไป เราได้พูดคุยกับพี่ฉิ่ง-มนตรี ณ ตะกั่วทุ่ง ผู้บริหารบาร์แห่งนี้ถึงเรื่องราวหลังจากรอดชีวิตจากเหตุสึนามิ
“ตอนแรกเราก็คิดจะไม่กลับมาเหมือนกัน แต่ก็มีฝรั่งบอกว่าถ้าเราไม่กลับมา แล้วเขาหลักจะกลับมาเหมือนเดิมได้ไง ถ้าคนในพื้นที่หนีไปจากที่นี่ เรากลับมาพัฒนาบ้านเกิดกันต่อ”
“ตอนแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีคนหรอก แต่เพื่อนรู้ว่าเรายังอยู่เขาก็กลับมาเยี่ยมกันและบอกต่อกันปากต่อปาก หลังจากสึนามิเราก็มาหัดเรียนเซิร์ฟ หลังสึนามิ ตอนประมาณอายุ 28 ปี ด้วยความที่เราชอบและคิดว่าบ้านเราเล่นได้ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีคนมาเล่นเซิร์ฟที่นี่ ประมาณ 10 ปีกว่าร้านนี้ก็ฟื้นขึ้นมาได้”
“หลังจากสึนามิ ช่วงแรกๆ ทุกคนก็กลัวไปซื้อที่อยู่บนภูเขาอยู่กันไม่อยากอยู่ทะเลกันในช่วง 1-2 ปีแรก หลังจากนั้นก็เปลี่ยนจากความกลัวเป็นการเรียนรู้ว่าเราจะอยู่กับสึนามิยังไง มันก็มีเรดาร์ มีเครื่องส่งสัญญาณเตือนภัยอยู่แถวนี้ และมีการซ้อมหนีภัยสึนามิบ่อย ทำให้ตอนนี้ไม่กลัวสึนามิแล้ว”
พี่ฉิ่ง เล่าว่าหลังจากสึนามิ 20 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงหมดเพื่อรองรับสึนามิ มีการทำถนนเพื่อบอกให้ลูกค้าวิ่งตรงไปประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าจะมีภูเขาให้ขึ้นไปก็รอดแล้ว และมีเครื่องส่งเสียงสัญญาณที่รัฐทำไว้และเครื่องส่งเสียงสัญญาณจากโรงแรมที่ดังพอมาถึงตรงนี้
“ถ้าไม่มีเครื่องนี้ เราก็กลัวนะ เราอยากให้รัฐบาลใส่ใจ อย่าลืม เพราะบางทีมาสร้างทีเขาก็ทิ้งไว้หรือลืมไปเลย อยากให้มีการดูแลชัดเจน เพราะรัฐบาลเสียแค่ว่าสร้างได้ แต่ไม่ดูแล”
“ที่นี่ยังมีหอกระจายเสียง มีการเปิดไว้ช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเขาเป็นทหาร เขาจะเปิดเพลงชาติ การเปิดเพลงชาติก็ช่วยให้เรารู้ว่าหอกระจายเสียงใช้ได้หรือไม่ได้ แต่พอเป็นรัฐบาลนี้เขาไม่เปิดแล้ว”
ปัญหาของอุปกรณ์การแจ้งเตือนไม่ใช่เพียงแค่ที่เดียว หลายพื้นที่ยังกังวลถึงประสิทธิภาพอุปกรณ์เหล่านี้ เพราะบางแห่งขาดการดูแลอย่างต่อเนื่อง และบางบ้านก็กลัวว่าจะไม่ได้ยินเสียงสัญญาณหากเกิดเหตุ
เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงเรื่องหลายคนเรียกร้องมานานหลายปีคือการแจ้งเตือนผ่าน SMS ในโทรศัพท์มือถือ ที่หากเกิดขึ้นได้จริงก็คงเบาใจได้อีกเปลาะหนึ่ง ได้เพียงแต่หวังว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
ระหว่างการเดินทางกลับจากบาร์ของพี่ฉิ่ง เราสังเกตถนนทางออกอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นหลังจากพี่ฉิ่งบอกว่านี่คือทางหนีสึนามิ และเริ่มจินตนาการว่าถ้าเกิดเหตุเราจะวิ่งทันไหมนะ เพราะตอนขับรถเข้ามาก็ไม่ได้ทันสังเกตสิ่งสำคัญเหล่านี้เท่าไหร่นัก นี่อาจเป็นความประมาทที่เราเคยชินจนไม่ทันรู้ตัว
วันที่ 26 ธันวาคม 2567 เรามาถึงวันครบรอบ 20 ปีที่สวนอนุสรณ์สึนามิบ้านน้ำเค็มตั้งแต่เช้า มีผู้คนมากมายทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาร่วมงาน
ไม่นานนักผู้คนเริ่มเดินทางมาร่วมงานอย่างแน่นขนัด เป็นสัญญาณว่าพิธีทางศาสนาในตอนเช้าจะเริ่มขึ้นแล้ว
ป้าอีและหลานชายมาทำบุญให้ลูกสาว
บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างสงบและเรียบง่าย จากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงที่ครอบครัวผู้สูญเสียจะร่วมกันวางดอกไม้ให้แก่ผู้ล่วงลับอันเป็นที่รักของพวกเขา
(จากซ้าย)โจดี้ ไบรอน สมิธ (Jody Byron-Smith) และแพท ไบรอน (Pat Byron)
เราได้พูดคุยกับ โจดี้ ไบรอน สมิธ (Jody Byron-Smith) และแพท ไบรอน (Pat Byron) ลูกสาวและแม่ชาวอังกฤษที่กำลังชมภาพถ่ายเหตุการณ์สึนามิในอดีต โจดี้เล่าให้เราฟังว่า เธอเคยเป็นอาสาสมัครอิสระที่เข้ามาช่วยเหลือไทยในตอนนั้นประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งตอนนั้นสถานการณ์แย่มากและเสียหายอย่างหนัก
“คนอังกฤษส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักสึนามิ” โจดี้และแพทตอบพร้อมกันหลังจากที่เราถามว่าก่อนเกิดเหตุพวกเขารู้จักคำว่าสึนามิมาก่อนไหม
โจดี้ มองว่าความไม่รู้ก็เป็นสาเหตุหลักเหมือนกันที่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะชาวอังกฤษก็ไม่เคยถูกสอนเรื่องเหล่านี้ในโรงเรียนเหมือนกัน
“ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าสึนามิคืออะไร ฉันมาเที่ยวที่ประเทศไทยอยู่บ่อยครั้งก่อนหน้านั้น แต่เมื่อเกิดเหตุสึนามิ ฉันรักคนไทย ฉันรักประเทศไทย ฉันจึงมาเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือในตอนนั้น เราทำงานเป็นอาสาสมัครประมาณ 1 ปี”
โจดี้บอกว่าแม้ในอังกฤษเราไม่ได้เผชิญกับภัยพิบัติมากนัก แต่แน่นอนว่ามีความเสี่ยงภัยในรูปแบบต่างๆ เช่นช่วงโควิด-19
“สิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจกับประชาชนและต้องสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น ฉันคิดว่านี่เป็นจุดสำคัญในทุกประเทศที่ต้องจัดการให้ประชาชนมั่นใจว่าระบบในการดูแลพวกเขาจัดการได้ดี หรือการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้พวกเขารู้ว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้วหรือยัง นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น”
นอกจากโจดี้แล้ว ในงานวันนี้ยังมีอาสาสมัครที่มาช่วยเหลือกว่า 80 คนที่มาร่วมงานเพื่อร่วมเคียงข้างกับญาติผู้สูญเสีย เราได้คุยกับอาสาสมัครอีกคนหนึ่งชื่อว่า ดีเจ โฮห์ไมเออร์ (DJ Hohmeier) อดีตหัวหน้าทีมอาสาสมัครก่อสร้างบ้านชาวอเมริกา วัย 41 ปี
“ในช่วงปี 2548 ตอนนั้นผมเห็นข่าวในทีวี และนั่นทำให้ผมใจสลายมาก ผมจึงตัดสินใจมาที่ไทยและเข้ามาเป็นอาสาสมัครอยู่ประมาณ 1 ปี ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กวัยรุ่นประมาณ 22 ปี ผมพยายามเรียนรู้ทุกอย่างให้เร็วเท่าที่ผมจะทำได้เพื่อช่วยสร้างบ้านให้ผู้ประสบภัยและกลายเป็นหัวหน้าทีมอาสาสมัครก่อสร้างบ้านในหมู่บ้านแถวแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต”
“ในตอนนั้นผมได้เจอกับผู้คนทั่วโลกที่ใจดีมากๆ ที่ทุ่มเทเวลามาเพื่อต้องการช่วยเหลือคนอื่น พวกเรามาที่นี่เพื่อทุ่มเทเวลาและได้เติบโตเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวในไทยอันยิ่งใหญ่นี้ เรามาเพื่อช่วยพวกเขา พวกเขาก็ช่วยเหลือพวกเราเช่นกัน”
ดีเจบอกว่าเขารู้จักคำว่าสึนามิจากการเรียนในโรงเรียนมาก่อน แม้จะจำไม่ได้ว่าไปเรียนมาตอนไหน หลังจากเกิดเหตุสึนามิและเดินทางมาเป็นอาสาสมัครที่นี่ เขาเรียนรู้เกี่ยวกับสึนามิเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลและสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
“ผมคิดว่าการศึกษาสำคัญ ตอนนั้นมีหลายคนอยากเข้ามาช่วยแต่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร หรือต้องไปถามใคร ดังนั้นถ้าใครเพิ่งเข้ามาเป็นอาสาสมัครใหม่ๆ การทำให้ทุกอย่างเคลียร์ว่าเราต้องการอะไร เราทำอะไรเป็นบ้างและเราเก่งในเรื่องไหน เหล่านี้ก็จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และไม่ขวางทางคนอื่น การเข้าใจว่าใครถนัดเรื่องไหนหรือคิดว่านี่คือจุดแข็งของพวกเขา จะทำให้เราวางตำแหน่งในการช่วยเหลือได้ดีขึ้น”
“สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการควบคุมสติและมีแผนรับมืออย่างใจเย็นและหนีอย่างปลอดภัย เพราะหลังจากสึนามิ ผู้คนมีความรู้สึกหวาดกลัวมาก ผมเข้าใจความรู้สึกนั้น แต่เราต้องคุมสติไว้และหนีโดยไม่ทำร้ายคนอื่น รวมถึงการใช้เสียงไซเรนและการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์ที่จะบอกคุณได้ว่าเราต้องหนีไปทางไหนก็เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความโกลาหลได้”
ดีเจคิดว่าสมาร์ทโฟนคือสิ่งสำคัญในการแจ้งเตือนภัย เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนมีและทำให้ผู้คนเห็นสิ่งเดียวกันในภายในเวลาเดียวกัน
“ผมไม่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์มากว่าจะสามารถการจับสัญญาณการเกิดสึนามิได้อย่างไร หรือเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่านั่นคือสึนามิหรือไม่ ผมคิดว่าเทคโนโลยีตอนนี้ยังไม่มีการพัฒนามากพอ เพราะในสหรัฐอเมริกา รัฐแคลิฟอเนีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน มีแผ่นดินไหวและมีการส่งแจ้งเตือนสึนามิ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่สึนามิ ฉะนั้นเราจึงยังไม่รู้ว่าบางกรณีเป็นสึนามิหรือแค่แผ่นดินไหว เราจึงยังต้องศึกษาเพิ่มเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าหากทุกคนได้รับการแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์เพื่อบอกให้เราหนีไปยังที่สูง นั่นคือสิ่งที่พวกเราพอจะทำได้ในตอนนี้”
เมื่อเราลองก้มดูโทรศัพท์ของตัวเองที่อาจเป็นอุปกรณ์สำคัญในการช่วยชีวิตเราได้เมื่อเกิดภัย แม้เราจะติดตามข่าวและช่องทางการเตือนภัยต่างๆ เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตขึ้นมาก็คงไม่รอดแน่นอน
“ความจริงปีนี้รัฐบาลคิดว่าเขาได้พยายามและทำระบบส่งข้อความ SMS แล้ว ซึ่งจริงๆ เพิ่งเริ่มต้นคิด เพราะว่าผมสู้เรื่องนี้มานานและสู้มาตลอด จนเกิดน้ำท่วมที่เชียงราย ผมก็พยายามสร้างกระแสเรื่องการทำระบบเตือนภัยให้ถึงประชาชน จนตอนนี้จึงมีการทำระบบส่งข้อความ SMS เพราะจะได้แจ้งเตือนถึงชาวบ้าน แต่ผมอ่านข้อความแจ้งเตือนแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าต้องทำยังไง”
คำพูดของไมตรี จงไกรจักร์ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไทยและอดีตผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ ผู้รอดชีวิตจากคลื่นสึนามิและหันมาทำงานด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พี่ไมตรีเล่าว่าหลังจากสึนามิทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการจัดการภัยพิบัติ 3 เรื่องหลัก ได้แก่
เรื่องที่หนึ่ง เกิดศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติภายใต้กำกับสำนักนายกฯขึ้นมาในปี 2549 โดยตอนนั้นมีเป้าหมายเพื่อหวังผลว่าจะเป็นหน่วยแจ้งเตือนภัยของประชาชนเป็นหน่วยหลักของประเทศ แต่ช่วงปี 2550 ศูนย์นี้ถูกย้ายไปอยู่กระทรวงดิจิทัลฯ จากที่เคยเป็นหน่วยงานใหญ่ก็เริ่มลดระดับลงมา
ต่อมาปี 2559 หลังการรัฐประหาร ศูนย์นี้ก็ถูกย้ายไปอยู่ใต้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย แต่ในขณะเดียวกันก็มีองค์กรที่ใหญ่ขึ้นมา เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ รวมไปถึงกรมทรัพยากรธรณี ทำให้กลายเป็นว่ามีหลายหน่วยที่มีข้อมูล แต่ไม่มีหน่วยเตือน หน่วยเตือนต้องรอขออนุญาตหรืออนุมัติจากอธิบดีหรือรองอธิบดีก่อน
นอกจากนี้ก็เกิดหอเตือนภัยและหอหลบภัยขึ้นมา แต่นอกจากสึนามิแล้ว หอเตือนภัยเหล่านี้ก็ไปเกิดขึ้นในที่อื่นด้วย แต่หอเหล่านั้นไม่ได้ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรื่องที่สองคือ เมื่อปี 2550 เกิด พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ซึ่งในพ.ร.บ.นี้จะมุ่งเป้าไปที่การบริหารจัดการในภาวะวิกฤตเพราะประสบการณ์ความวุ่นวายช่วงสึนามิที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อประกาศภัยพิบัติ พ.ร.บ.นี้มีหน้าที่เดียวคือการบริหารจัดการภัยพิบัติในขณะเกิดวิกฤติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ที่ผ่านมาไม่เกิดการเตรียมการใดๆ เพื่อรับมือกับภัยพิบัติ
เรื่องที่สาม หลังจากนั้นก็เกิดการทำข้อตกลงร่วมกับญี่ปุ่น ทำให้ประเทศไทยทำแผนป้องกันบรรเทาสาธารณภัยระดับชาติขึ้นมาชุดหนึ่ง โดยแผนจะเขียนว่าหน่วยไหนทำหน้าที่อะไร หน่วยไหนมีเงินเท่าไหร่ นำไปสู่การกำหนดงบประมาณให้หน่วยต่างๆ ซึ่งตอนนั้นทุกกรมที่อยู่ในแผนจะมีเงิน 50 ล้านบาท
“ชาวบ้านก็รู้สึกว่าประกาศภัยก็ดี ราชการเองก็อยากประกาศเพราะเขาจะได้ใช้เงินพิเศษ ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง อยากซื้อข้าวกล่อง ถุงยังชีพ 30-50 ล้านก็ได้ หรือซื้อ 100 ล้านก็ได้เพราะมันง่ายมากในการประกาศ เมื่อวิธีนี้ส่อไปในทางไม่ดีจึงถูกลดงบเหลือ 20 ล้านบาทแทน”
“ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ รัฐไทยก็จะประกาศภัย แล้วก็บริหารจัดการในภาวะวิกฤตหมด เพราะฉะนั้นประชาชนก็จะเป็นผู้ประสบภัย เป็นผู้ขอรอรับ เพราะมีแต่หน่วยแจกข้าวกล่อง ถุงยังชีพ ข้าวสาร ของบริจาค สังคมจะให้การช่วยเหลือแบบกู้ภัย มีเสื้อผ้ากองเป็นพะเนินเหมือนสมัยสึนามิ และน้ำท่วมเชียงรายปี 67 ก็ไม่ต่างกัน คนก็คิดว่าถ้าเราประสบภัยจะมีคนมาบริจาคของและต้องมาช่วยให้เรา ทุกครั้งเมื่อเป็นแบบนี้
สุดท้ายก็ไม่มีหน่วยงานมาช่วยส่งเสริมป้องกันเลย” พี่ไมตรีเล่า
พี่ไมตรีมองว่าสิ่งที่เขาต้องการในหลังจากช่วง 20 ปีที่ผ่านมามี 3 เรื่องคือ
เรื่องที่หนึ่ง การทำระบบการสื่อสารเพื่อการเตือนภัย โดยมีองค์กรที่จะสถาปนาตัวว่าจะเป็นผู้เตือนภัยพิบัติให้กับทุกคนในประเทศนี้ เพราะปกติการเตือนภัยจะเตือนที่นายก อบต. ซึ่งประชาชนก็จะไม่รู้ว่าถ้าคลื่นสึนามิมาเราจะต้องวิ่งทางไหน สิ่งสำคัญคือการแจ้งเตือนนั้นต้องส่งเข้า SMS โทรศัพท์ทุกคนที่สามารถบอกได้ว่าให้เราอพยพไปทางไหน
“เรื่องนี้มีบทเรียนอยู่ 2-3 กรณี หนึ่งคือตอนที่อ่างเก็บน้ำที่ประจวบคีรีขันธ์แตก ก็มีการเตือนพื้นที่ข้างเคียงว่าน้ำจะมา แต่คนที่ได้รับความเสียหายหนักคือคนที่ขับรถบนถนน พอรถผ่านมาพอดีก็มีน้ำซัดไหลไปลงคู แต่ถ้าเกิดมี SMS เตือนเราว่า อ่างเก็บน้ำที่ประจวบแตก น้ำจะลงมาในอีก 30 นาที ขอให้จอดรอและห้ามวิ่งผ่านก็จะช่วยได้”
“มนุษย์เคลื่อนที่ แต่ภัยพิบัติเกิดประจำถิ่น ถ้าบังเอิญเรามาพอดีและเราไม่มีความรู้หรือข้อมูล ไม่ได้รับการเตือน เราก็จะตายแทนคนที่นี่แหละ เพราะคนในพื้นที่วิ่งหมดแล้ว”
เรื่องที่สองคือต้องแก้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ให้มีอำนาจหน้าที่ในการเตรียมการและป้องกันด้วย ซึ่งปัจจุบันไม่ได้เขียนไว้
“ผมตามกฎหมายนี้มานานและเสนอแก้ไปแล้วรอบหนึ่ง แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในขณะนั้นไม่เซ็นให้จึงไม่ได้แก้ พ.ร.บ.นี้มีการเขียนไว้กว้างๆ และใครก็ไม่กล้าประกาศใช้เรื่องนี้”
ส่วนเรื่องที่สามพี่ไมตรีย้ำว่าต้องทำให้การกระจายอำนาจ ซึ่งจะกระจายอำนาจในความหมายรัฐก็ไม่ได้ เพราะแบบนั้นคือการผลักภาระของกระทรวงหรือรัฐบาลไปที่ท้องถิ่น โดยไม่ให้อะไรเลย
“การกระจายอำนาจในความหมายของผมคือการแบ่งอำนาจให้ท้องถิ่นทำงานร่วมกับชุมชน และให้มีอำนาจและมีหน้าที่ในงบประมาณ เพราะตอนนี้หลายหน่วยงานที่เข้ามาทำเรื่องการป้องกันภัยพิบัติ ก็ถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบว่าภัยพิบัติไม่เกิดแล้วคุณมาเตรียมการได้อย่างไร ใช้งบผิดประเภทท้องถิ่นก็เลยไม่กล้าเตรียมการ”
“สังเกตได้เลยว่าน้ำท่วมเกิดทุกปี อบต. ไม่มีเรือสักลำ คนต้องนั่งรอว่าเรือของ ปภ.หรือมูลนิธิจะมาช่วยเมื่อไหร่ อบต. ไม่มีเรือเพราะซื้อไม่ได้ ถ้าซื้อปีนี้แล้วเกิดน้ำไม่ท่วมก็ถูกสอบเลยว่าซื้อเรือมาเตรียมการแต่น้ำไม่ท่วม ซึ่งบางครั้งในพื้นที่นั้นอาจจะน้ำท่วมทุก 3 ปีก็ได้”
“เมื่อท้องถิ่นได้แบ่งอำนาจ หน้าที่ และงบประมาณมาแล้ว ต้องทำหน้าที่ส่งเสริมชุมชนจัดทำข้อมูล คือต้องให้ความรู้ประชาชนและทำข้อมูล เช่น จำนวนกลุ่มเปราะบาง จุดปลอดภัย ที่อพยพหลบภัย ศูนย์รวมพล มีข้อมูล เส้นทาง มีคน มีอาสาสมัครของตัวเอง โดยไม่ต้องรอมูลนิธิ และมีเครื่องมือ อย่าง เรือ เสื้อชูชีพเท่าไหร่บ้าง”
‘อาสาสมัคร’ ถือเป็นกลุ่มคนสำคัญที่ช่วยเหลือในเหตุการณ์ภัยพิบัติมาโดยตลอดและหลายครั้งก็มักเกิดคถามขึ้นเสมอว่าทำไมหน่วยงานรัฐถึงต้องพึ่งพาอาสาสมัครในทุกครั้งที่เกิดภัย เราตั้งคำถามกับพี่ไมตรีว่า “การทำงานแบบอาสาสมัครถือเป็นวิธีที่เวิร์คใช่ไหม”
พี่ไมตรีตอบกลับอย่างมั่นใจว่า “ใช่ เราทดสอบมา 20 ปีแล้ว และทุกองค์กรที่เราทำงานด้วยที่เป็นศูนย์และเครือข่ายในการรับมือภัยพิบัติก็เอาวิธีนี้ไปใช้กับช่วงสถานการณ์โควิดยังได้ เพราะหลักการแบบเดียวกันหมด เพียงแต่มีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน เช่น ตั้งศูนย์ทำข้อมูลสำรวจมีผู้ติดโควิดเท่าไหร่ ทำครัว มีอาสาสมัครช่วยเฝ้าระวังป้องกัน มีจุดพยาบาล ศูนย์อพยพ”
พี่ไมตรียกตัวอย่างกรณีน้ำหลากในหมู่บ้านหินลาดใน จังหวัดเชียงราย วันนั้นพี่ไมตรีอยู่วันที่น้ำหลากพอดีจึงโทรประสานนัดแกนนำเครือข่ายและประชุมออนไลน์ เพื่อบอกว่าจะเริ่มทำงานอย่างไร
“หลังจากนั้นชุมชนก็มีการจัดตั้งศูนย์ โรงครัว ระดมทุน สำรวจความเสียหาย ประกาศต่อสาธารณะว่าอะไรเสียบ้าง ราคาเท่าไหร่ เงินทุนเท่าไหร่ เพื่อเตรียมความพร้อมและบอกความต้องการโดยไม่ต้องรอใครมาแจกของ เช่น ต้องการซ่อมอาคารเรียน ซ่อมท่อประปา เพื่อเป็นแผนที่ชัดเจน จากที่ขอไป 90,000 บาทได้กลับมา 900,000 บาท ก็นำไปซ่อมบ้าน
“หินลาดในจึงกลายเป็นเหมือนโมเดลของเชียงราย คนช่วยเขาก็อยากช่วยถ้ามีระบบการจัดการที่ดี เรามีโมเดลเหล่านี้เกิดขึ้นทั่วประเทศ และโมเดลเหล่านี้ก็ขยายไปสู่พื้นที่ใกล้เคียง เขาได้เกิดการเรียนรู้ และมันได้ผลจริง”
“สิ่งที่พวกผมทำ ไม่ได้จะห้ามให้เกิดภัยพิบัติ แต่เราจะลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด เมื่อเกิดภัยแล้วดูแลช่วยเหลือกันอย่างเท่าเทียมได้อย่างไร ไม่ให้เกิดการตกหล่น ต่อจากนี้ภัยพิบัติจะเกิดทุกที่และไม่เคยเกิดเท่านั้นมาก่อน มันจะหนักขึ้นตลอดทุกครั้งที่เกิด”
พี่ไมตรีบอกว่าสิ่งสำคัญอีกอย่างคือการให้ความรู้ เพราะประเทศเราไม่มีหลักสูตรเรื่องการป้องกันภัยพิบัติในการเรียน
“ผมพูดกับลูกชายผมที่กำลังจะสอบและหยุดอ่านหนังสือ ชวนลูกมางานและไปเข้าฐานเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติ ลูกผมบอกว่าพ่อไม่มีวิชาเรื่องภัยพิบัติที่จะต้องไปสอบพรุ่งนี้ในโรงเรียนเลย เพราะฉะนั้นลูกขออ่านหนังสือสอบก่อน (หัวเราะ)”
“เมื่อโรงเรียนในประเทศเราไม่มีหลักสูตรให้เรียนสักระดับเดียว ความรู้ก็ไม่เกิดตั้งแต่เด็กแล้ว พอโตขึ้นก็เขาก็รู้สึกว่าเรื่องภัยพิบัติเป็นเรื่องไกลตัว และยิ่งเพื่อนไม่ให้เข้าไปยุ่งอีก ไม่ให้เห็นความสำคัญอีกยิ่งไม่ได้ทำอะไร พอเกิดภัย แม้เราจะมีแผนมาดี แต่ชาวบ้านไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไง”
พี่ไมตรีอธิบายว่าเมื่อก่อนกอง ปภ.ขึ้นข้อมูลในเว็บไซต์ว่ามีชุมชนเสี่ยงภัยอยู่ 40,000 กว่าชุมชน แต่มีการแบ่งระดับความเสี่ยง แต่รัฐบาลให้งบ ปภ. ภายใต้โครงการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติโดยมีชุมชนเป็นฐาน ให้ปีหนึ่งเฉลี่ย 20 ชุมชน ชุมชนละ 30,000 บาท เมื่อลองคำนวณดู 20 ชุมชน หารด้วย 40,000 ชุมชน หมายความว่าเราต้องใช้เวลาถึง 2,000 ปีกว่าจะลงครบทุกชุมชน
“เราก็คิดว่าจะทำยังไงดี เลยไปชวนภาคีที่ร่วมจัดงานกันเพื่อสร้างโมเดล ให้คนนี้ทำ 200 ชุมชน คนนี้ทำ 500 ชุมชน ให้ไปช่วยกันทำ อย่างผมทำ 136 ชุมชน เราก็แบ่งกันไปทำจนได้ประมาณสัก 1,000 ชุมชน แต่ยังเหลืออีก 39,000 ชุมชน เราคิดว่าเริ่มไม่ไหวจึงเริ่มคุยกันและคิดว่าต้องผลักดันเรื่องการแบ่งอำนาจ สมมติใน อบต. ผมมี 8 หมู่บ้าน ถ้ามีชุมชนเสี่ยงอยู่ 5 ชุมชน อบต.ก็ลงไปทำตรงนี้เลย และถ้ารัฐบาลให้งบมาประมาณตำบลละล้านให้ทำตั้งแต่การให้ความรู้ ข้อมูล ฝึกคนและเครื่องมือท้องถิ่นก็จะทำให้ชุมชนพร้อมภายในปีเดียว ครบหมดทั้งประเทศ คราวนี้ทุกคนก็จะได้เรียนรู้”
หลังจากคุยกับพี่ไมตรีทำให้เราเห็นถึงปัญหาการจัดการภัยพิบัติที่ชัดเจนที่ต้องแก้ไขให้ชัดเจนมากขึ้น แต่เราเองก็ยังไม่รู้ในรายละเอียดว่าตกลงรัฐบาลมีมาตรการอย่างไรบ้างเมื่อเกิดภัย
หลังจากเดินทางกลับกรุงเทพฯ เราเก็บความสงสัยนี้ไว้และโทรติดต่อไปยัง ปภ. จนได้พูดคุยกับสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดี ปภ. ถึงมาตรการจัดการภัยพิบัติที่มีการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากสึนามิในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาว่าปัจจุบัน ปภ. มีมาตรการ 5 เรื่องหลักด้วยกัน ประกอบด้วย
1. ปภ. มีการตั้งคลื่นตรวจวัดสึนามิ จำนวน 2 ทุ่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัดชายฝั่งอันดามัน ประกอบด้วย กระบี่ พังงา ภูเก็ต ระนอง ตรัง และสตูล โดยตัวแรกเป็นทุ่นระยะใกล้ที่ติดตั้งอยู่บริเวณทะเลอันดามัน ห่างจากเกาะภูเก็ตไปทางทิศตะวันตกประมาณ 340 กม. อีกตัวหนึ่งเป็นทุ่นตัวไกลออกไป ซึ่งติดตั้งที่มหาสมุทรอินเดีย ตัวนี้ห่างจากภูเก็ตไปทางตะวันตกเช่นเดียวกันประมาณ 965 กม. ถ้าหากว่าทุ่นตัวไกลจับตรวจแรงกันน้ำทะเลลึกได้ก็จะเหลือระยะเวลาที่คลื่นสึนามิจะวิ่งเข้าฝั่งที่ 6 จังหวัดประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
ส่วนทุ่นตัวใกล้หากจับได้เช่นเดียวกัน ก็จะเป็นการยืนยันว่าคลื่นมาแน่ ก็จะมีเวลาประมาณ 40 นาที หลังจากจับคลื่นได้แล้วก็จะเป็นเรื่องของบนฝั่ง บนฝั่งก็จะมีการตั้งหอเตือนภัยสึนามิที่ขณะนี้มีอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัดอยู่ 130 แห่ง หอนี้ก็เป็นอุปกรณ์ในการกระจายข้อความการแจ้งเตือนสึนามิ ซึ่งสามารถแจ้งเตือนในรัศมีประมาณ 1 กม.ครึ่งถึง 2 กม. ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ ตรงนี้ก็สามารถทำให้ประชาชนสามารถรับข้อมูลข่าวสารและรับข้อมูลได้ทันตามระยะเวลาที่ตรวจจับคลื่นทะเลจากทุ่นได้ และสามารถอพยพได้ทัน
2. ปภ. จะมีการฝึกซ้อมและให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องสึนามิ ซึ่ง ปภ. ได้ร่วมกับจังหวัด อำเภอตำบล หมู่บ้าน และพื้นที่เสี่ยงภัยสึนามิ ปภ. ได้สนับสนุนในการทำแผนที่เสี่ยงภัยสึนามิ แผนที่การอพยพ และมีการฝึกซ้อมให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นประจำทุกปี เพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจ รู้เส้นทางอพยพและตระหนักถึงสิ่งที่ต้องปฏิบัตเมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิขึ้น
3. ในส่วนภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูช่วยเหลือประชาชน ได้จัดตั้งศูนย์อพยพจากภัยสึนามิ ซึ่งอยู่ในจุดปลอดภัย เราได้ร่วมกันวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยสึนามิในพื้นที่ 6 จังหวัด และจัดศูนย์อพยพขึ้นเพื่อใช้เป็นทั้งสถานที่ฝึกซ้อมและพื้นที่พักอาศัยอยู่จริง เพื่อเป็นจุดที่ให้ประชาชนมีที่อยู่ ที่รับประทานอาหาร และฟื้นฟูสภาพจิตใจเมื่อเกิดภัย
4. สิ่งที่ ปภ. เร่งรัดคือการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานระดับประเทศในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูล เรียกว่า ‘ระบบเตือนภัยร่วมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงเอเชียใต้’ ซึ่งทำร่วมกับ NOAA หรือองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ ประเทศอินเดียและอินโดนีเซีย ซึ่งจะทำให้เราสร้างความมั่นใจร่วมกันและเป็นหลักประกันในการยืนยันข้อมูลกับภาคีเครือข่ายต่างประเทศ เพราะสิ่งนี้จะแผ่ไปทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียใต้ แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตรงนี้จึงมีการทำงานร่วมกัน
5. ปัจจุบัน ปภ. ได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พัฒนาระบบแจ้งเตือนผ่านระบบ Cell Broadcast (เป็นวิธีการส่งข้อความสั้น ๆ พร้อมกันไปยังผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหลายรายในพื้นที่ที่กำหนด) เพราะเป็นระบบที่มีความรวดเร็วในการแจ้งเตือนประชาชนภายในระยะเวลา 1-3 นาที ประชาชนก็จะได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วผ่านระบบมือถือเสาสัญญาณที่จะแจ้งไป โดยไม่ต้องดาวน์โหลดระบบใดๆ ทั้งสิ้นและเมื่อแจ้งเตือนยังส่งเสียงสัญญาณได้ด้วย รวมถึงยังสามารถให้บริการได้หลายภาษาด้วย
“คาดว่าระบบ Cell Broadcast นี้จะช่วยสนับสนุนให้เราแจ้งเตือนได้ทุกภัยพิบัติ รวมถึงสึนามิด้วย ซึ่งจะเริ่มให้บริการได้ปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 และขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการ” รองอธิบดีฯ สหรัฐกล่าว
เป็นคำยืนยันที่ช่วยให้เรารู้สึกเบาใจขึ้นว่าอนาคตไทยจะมีระบบการแจ้งเตือนภัยทางโทรศัพท์จริงๆ แล้ว แต่ส่วนของการจัดการภัยพิบัติในขณะเกิดภัยก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่หลายคนมักสับสนและสงสัยว่า ปภ.มีระบบการจัดการอย่างไรกันแน่
เรื่องนี้รองอธิบดีฯ สหรัฐ อธิบายว่า เมื่อเกิดสาธารณภัยขึ้น ตามพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ปภ.จะยึดโยงอยู่กับ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ด้วย ซึ่งพ.ร.บ.นี้ก็ยึดตามโครงสร้างที่แบ่งเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น
ในส่วนกลางจะมี ปภ. อยู่เหมือนกับส่วนกลางตามทบวงกรมต่างๆ มีอธิบดี ปภ.เป็นผู้อำนวยการกลาง ในขณะที่ระดับจังหวัดจะมีผู้ว่าราชการจังหวัด หมวกหนึ่งผู้ว่าเป็นอยู่ในระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน อีกหมวกหนึ่งของการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าฯ อยู่ในฐานะผู้อำนวยการจังหวัด ส่วนสำนักงาน ปภ.จังหวัด เป็นฝ่ายเลขาฯ ให้ผู้ว่าฯ ที่คอยสนับสนุนข้อมูล เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา ประสานทรัพยากรและความร่วมมือต่างๆ
“ฉะนั้นทุกความช่วยเหลือที่เข้าไปในพื้นที่จังหวัด ผู้ว่าฯ ควรจะได้รับทราบ เพราะผู้ว่าฯ จะได้รับรายงานจาก ปภ.จังหวัดว่าสาธารณภัยเกิดที่ใด มีความช่วยเหลือใดในพื้นที่บ้าง เราทรัพยากรอะไรที่ให้ความช่วยเหลือประชาชน และผู้ว่าฯ จะเป็นคนจัดลำดับความสำคัญในแก้ปัญหา”
รองอธิบดีฯ สหรัฐกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในภาคเหนือและภาคใต้ปี 2567 ว่า น้ำท่วมทางเหนือและทางใต้ในปีที่ผ่านมา ปภ.ได้ร่วมมือและบูรณาการการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน อาสาสมัครและมูลนิธิต่างๆ ในการบัญชาการเหตุการณ์ ส่วนของ ปภ. เองก็สั่งให้ทุกจังหวัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัยและมีการแบ่งมอบภารกิจให้ชัดเจน ซึ่งตรงนี้ด้วยการทำงานของ ปภ. เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายให้อำนาจ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 รวมถึงแผนการบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570
“เรายังมีแผนเผชิญเหตุของแต่ละจังหวัด เพื่อใช้ในการบริหารจัดการ ประสานงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงด้านการพยากรณ์ การบริหารจัดการน้ำและด้านการปฏิบัติการเพื่อบริหารจัดการสาธารณภัยอย่างใกล้ชิด”
รองอธิบดีฯ สหรัฐ เล่าถึงแนวทางการแก้ปัญหาน้ำท่วม 2 ลักษณะ
ลักษณะแรก การแก้ไขปัญหาในระยะสั้นจะมีการเตรียมพร้อมเผชิญเหตุ และการเยียวยาฟื้นฟู ส่วนของการเตรียมความพร้อมเราจะให้ความสำคัญกับการติดตามเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ ตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงภัย เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ วางระบบการอพยพประชาชน และวางระบบการแจ้งเตือนหน่วยงานและประชาชนให้ทราบว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ รวมถึงการเตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลสาธารณภัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสูบน้ำ เรือท้องแบน รถขนส่งผู้ประสบภัย รถน้ำดื่ม หรือครัวต่างๆ ไว้ล่วงหน้า และเตรียมเข้าไปประจำตามจุด
“ท่านอธิบดีภาสกร บุญญลักษม์ ให้นโยบายว่าในการเตรียมการรับมือกับอุทกภัยในวงรอบที่จะถึงปี 2568 จะต้องวางเครื่องจักรกลสาธารณภัยไว้ล่วงหน้าตามจุดเสี่ยง ซึ่งขณะนี้ผมได้ประชุมกับศูนย์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัยเขต ทั้ง 1-18 ศูนย์เขต ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ศูนย์เขตประสานจังหวัดในพื้นที่รับผิดชอบ ได้สำรวจพื้นที่เสี่ยงแล้วต้องการเครื่องจักรประเภทใด เราจะวางเครื่องจักรไว้ล่วงหน้า”
“นอกจากนี้ของยังชีพต่างๆ ถุงยังชีพ เราก็เตรียมไว้ โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมศูนย์พักพิงชั่วคราวด้วย เมื่อเกิดเหตุขึ้นเราก็จะมีการตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ของจังหวัด และศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ของอำเภอ ที่เป็นปฏิบัติการฉุกเฉินของท้องถิ่น เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางอำนวยการควบคุม และประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างมีเอกภาพ”
“ส่วนสุดท้ายคือการเยียวยาฟื้นฟูในระยะเร่งด่วน ปกติเราจะมีเงินทดรองราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทกรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 ผู้ว่าฯ มีงบในเชิงป้องกันอยู่ในมือ 10 ล้านบาท และมีเงินในการช่วยเหลือประชาชนอีก 20 ล้านบาท แต่ในปี 2567 ที่ผ่านมารัฐบาลก็มีมติคณะรัฐมนตรี ใช้งบกลางมาช่วยเหลือประชาชนครัวเรือนละ 9,000 บาท ซึ่ง ปภ.ก็ได้เร่งรัดการจ่ายเงินอยู่ และยังมีงบในส่วนของค่าดูดโคลนที่รัฐบาลมีงบให้มาและยังสามารถใช้เงินส่วนที่เป็นเงินบริจาคของสำนักนายกฯ ได้”
ลักษณะที่สอง การแก้ปัญหาระยะยาว รองอธิบดีฯ สหรัฐคิดว่าต้องเร่งดำเนินการใช้มาตรการทั้งในเชิงโครงสร้างและไม่ใช้โครงสร้าง ทั้งสองประการนี้ต้องดำเนินการควบคู่กัน โดยส่วนของเชิงโครงสร้างจำเป็นที่ต้องปรับปรุงลำน้ำต่างๆ เช่น การขุดลอกคูคลอง กำจัดวัชพืช ซากวัสดุ ขยะต่างๆ ที่ทำให้น้ำชะลอตัวและสร้างกักเก็บน้ำ บูรณะ ซ่อมสร้าง หรือสิ่งที่จะเป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำ รวมถึงการฟื้นฟูระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัย การสร้างสะพานแม่น้ำลำคลอง การใช้ผังเมืองเพื่อก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัย
ส่วนมาตรการที่ไม่ใช้โครงสร้างจะเน้นดำเนินการในเรื่องของการจัดการภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน หรือที่เรียกว่า CBDRM:Community Based Disaster Risk Management หลักๆ คือเป็นการให้ความรู้ประชาชนที่จะรู้รับปรับตัวกับสาธารณภัยและอยู่ให้ได้ก่อนที่ภาครัฐจะเข้าช่วยเหลือ เพราะเมื่อเกิดสาธารณภัย บางครั้งภาครัฐเองก็ประสบภัยเองด้วย การให้ความช่วยเหลือก็อาจล้าช้าออกไป สิ่งสำคัญคือประชาชนต้องตื่นตัวและตื่นรู้ในการรับมือกับภัยพิบัติได้ด้วยตัวเองในเบื้องต้น
“ส่วนถัดไปที่ ปภ. เร่งดำเนินการคือการอบรมอาสาสมัครต่างๆ ทั้งเตือนภัย ทีมกู้ชีพกู้ภัยตำบล รวมถึงการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) เร่งเรื่องการถ่ายโอนความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบประกันต่างๆ การสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าถึงระบบการประกันภัย ส่วนการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปภ. ก็จะทำฐานข้อมูลทรัพยากรเพื่อใช้สำหรับการวางแผนในระยะยาวด้วย” รองอธิบดีฯ สหรัฐกล่าว
แม้ประเทศไทยจะมีแผนงานในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ชัดเจนและมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งคือเงินการลงทุนเพื่อป้องกันภัยพิบัติในแผนการระยะยาวนั้นยังไม่เพียงพอ
รองอธิบดีฯ สหรัฐ อธิบายว่าความจริงงบประมาณของภาครัฐที่ ปภ. มีอยู่จะแบ่งเป็นเงินตามหน้างานปกติ ไม่ว่าจะเป็น เงินที่ใช้ในส่วนราชการทำบ่อ ถนน เส้นทาง เขื่อน ฝายต่างๆ หรือเงินอีกส่วนหนึ่งที่ ปภ.มีคือเงินส่วนที่ใช้ในเชิงป้องกันและการช่วยเหลือคือ เงินทดรองราชการหรืองบกลางในบางกรณี
“ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องการลงทุน สิ่งที่รัฐบาลหรือภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการคือเรื่องของการลงทุน เพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องในระยะยาว”
รองอธิบดีฯ สหรัฐ เสนอว่าสิ่งที่ภาครัฐต้องคำนึงถึงคือ
หนึ่ง การแก้ไขปรับปรุงทางกายภาพ เช่น การสร้างระบบระบายน้ำขนาดใหญ่ หรือเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่สามารถใช้ได้ทั้งฤดูแล้งและฤดูฝน
สอง เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จะนำมาใช้ช่วยเหลือประชาชน เช่น น้ำท่วมที่เชียงรายล่าสุดก็ขาดแคลนอุปกรณ์อย่างมาก โดยเฉพาะรถดูดโคลน รถตักโคลน
“เราก็อยากเห็นเครื่องมืออุปกรณ์เหล่านี้ประจำอยู่ในศูนย์เขต ในจังหวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี เช่น ปภ.ที่กำลังทำเรื่อ Cell Broadcast ตรงนี้ก็ใช้งบลงทุนไปหลายร้อยล้านบาท นี่ก็เป็นเรื่องดี รวมไปถึงการถ่ายโอนความเสี่ยงที่หลายประเทศทำในหลายแห่ง คือรัฐต้องมีระบบประกันในการเข้าให้การช่วยเหลือ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบประกัน นี่เป็นเรื่องระยะยาวที่ผมอยากเห็นภาครัฐได้ลงทุน”
รองอธิบดีฯ สหรัฐ ยกตัวอย่างงานวิจัยของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณภัยที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา พบว่าหากเกิดสาธารณภัย การลงทุน 1 ดอลลาร์จะสามารถลดความสูญเสียได้ 7 ดอลลาร์หรืออัตรา 1 ต่อ 7 เท่ากับว่าหากลงทุน 100 ล้านบาทก็อาจลดความสูญเสียลงได้ 700 ล้านบาท
"ในประเทศออสเตรียก็มีการลงทุนสร้างเกาะเทียมในกลางแม่น้ำดานูบ และมีการสร้างระบบระบายน้ำขนาดใหญ่ ปรากฏว่าน้ำที่เคยท่วมปี 2002 และก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 3,000 ล้านยูโร พอมาปี 2012 ความเสียหายลงลดจาก 3,000 ล้านยูโร ลดเหลือเพียง 866 ล้านยูโร หรือลดลงประมาณ 3 เท่าตัว”
“เรื่องนี้ได้รับความชื่นชมจากนานาประเทศว่าการลงทุนของออสเตรียได้ผลและคุ้มค่า นี่เพียงน้ำท่วมปีเดียวหากมีน้ำท่วมอีกทุกปี ตัวเลขความเสียหายที่ลดลงจะยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก ฉะนั้นการลงทุนเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นน่าคบคิดให้รัฐบาลเร่งจัดการการบรรเทาสาธารณภัยในระยะยาว เพื่อลดความเสี่ยงและประชาชนมีความปลอดภัยอย่างยั่งยืนได้”
หลากหลายประเด็นพรั่งพรูออกมาจากการตามหาคำตอบว่าหลังจากสึนามิเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง แม้หลายคนอาจจะเผลอมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปจนกลายเป็นความเคยชิน
แต่การต่อสู้ของผู้รอดชีวิตตลอด 20 ปีที่ผ่านมาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการภัยพิบัติได้จริง แม้จะมีอุปสรรคต่างๆ มากมายก็ตาม แต่การพัฒนาที่เกิดขึ้นจนถึงวันนี้ทั้งจากภาคประชาชน รัฐและเอกชนถือเป็นร่วมมือที่สำคัญต่ออนาคต และเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตของพวกเราอยู่ในตอนนี้